คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1517/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ตั้งอยู่ในจังหวัดตราด โจทก์ได้ตกลงกับห้างหุ้นส่วนจำกัด อ.ว่าห้างหุ้นส่วนจำกัดอ. ให้โจทก์เข้าเป็นหุ้นส่วนประเภทจำกัดความรับผิด แล้วโจทก์จดทะเบียนยกที่ดินพิพาทให้ห้าง และห้างใช้ที่ดินพิพาทเป็นที่ตั้งโรงน้ำแข็งของห้าง เมื่อเลิกห้างแล้วถ้าหากมีทรัพย์สินไม่พอชำระหนี้ ก็ให้โจทก์ออกเงินเข้ากองทรัพย์สินของห้าง 50,000 บาทแล้วห้างจะโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ ต่อมาห้างถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและ พิพากษาให้ล้มละลายคดีถึงที่สุด โจทก์ขอชำระเงิน 50,000 บาท ให้แก่ห้างและขอให้ห้างจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์จำเลยซึ่งเป็นผู้ชำระบัญชีและเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างไม่ยอมปฏิบัติตามที่โจทก์ขอ โจทก์จึงฟ้องคดีนี้ต่อศาลจังหวัดตราดขอให้บังคับจำเลยรับเงิน 50,000 บาท จากโจทก์ แล้วโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทแก่โจทก์กับขอให้บังคับห้างออกไปจากที่ดินพิพาทด้วย ดังนี้ โจทก์มีอำนาจฟ้อง ไม่ต้องห้ามตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483มาตรา 26,27 ซึ่งปฏิบัติห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องคดีแพ่งอันเกี่ยวกับหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้ แต่ก็ห้ามเฉพาะหนี้เงิน ไม่ได้ห้ามฟ้องหนี้เกี่ยวด้วยการกระทำงดเว้นกระทำ หรือส่งมอบทรัพย์อื่นนอกจากเงิน ซึ่งเจ้าหนี้ไม่อาจขอรับชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ดังเช่นฟ้องโจทก์ ในคดีนี้ และตามคำฟ้องของโจทก์ไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา 153 โจทก์จึงยื่นฟ้องคดีนี้ที่ศาลจังหวัดตราด ซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินพิพาทตั้งอยู่ในเขตไม่จำต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลแพ่งซึ่งเป็นศาลที่สั่งพิทักษ์ทรัพย์ห้างหุ้นส่วนจำกัด อ. เด็ดขาด เพราะโจทก์มิได้ฟ้องว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดที่ดินพิพาทและขอให้สั่งถอนการยึด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ตกลงกับห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดว่า ห้างดังกล่าวจะให้โจทก์เข้าเป็นหุ้นส่วนของห้าง โดยโจทก์ต้องโอนที่ดินพิพาทของโจทก์ที่จังหวัดตราดให้แก่ห้าง เมื่อเลิกห้างแม้หากขาดทุนโจทก์จะต้องใช้เงินให้ห้าง 50,000 บาท และห้างจะโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ ต่อมาห้างถูกศาลแพ่งสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลายจำเลยซึ่งเป็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างไม่ยอมปฏิบัติตามข้อตกลงระหว่างโจทก์กับห้างดังกล่าว จึงขอให้บังคับจำเลยรับเงิน 50,000 บาทจากโจทก์แล้วโอนที่ดินพิพาทคืนให้โจทก์ กับขอให้ขับไล่ห้างออกจากที่ดินพิพาท

จำเลยให้การว่า โจทก์โอนที่ดินพิพาทให้แก่ห้างโดยเด็ดขาดแล้วข้อตกลงระหว่างโจทก์กับห้างเป็นเจตนาลวง จะยกขึ้นต่อสู้บรรดาเจ้าหนี้ไม่ได้ ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินรายพิพาทคืนแก่โจทก์ และรับเงินค่าหุ้น 50,000 บาทจากโจทก์ตามข้อตกลงในการเข้าหุ้นส่วนระหว่างโจทก์กับห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดผู้ล้มละลาย กับขอให้บังคับขับไล่ห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดผู้ล้มละลายออกไปจากที่ดินรายพิพาทอีกด้วย คำฟ้องของโจทก์จึงเป็นคำฟ้องเกี่ยวด้วยอสังหาริมทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ถ้าหากห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดมิได้ถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ โจทก์จะต้องยื่นฟ้องห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดต่อศาลจังหวัดตราด ซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินรายพิพาทตั้งอยู่ในเขต แต่เนื่องจากห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดแล้วพิพากษาให้ล้มละลาย อำนาจในการฟ้องร้องและต่อสู้คดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22(3) โจทก์จึงฟ้องเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดลูกหนี้ผู้ล้มละลายเป็นจำเลยในการเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้นั้น หลังจากศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดแล้ว พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 26 และ 27 บัญญัติห้ามมิให้เจ้าหนี้ฟ้องคดีแพ่งอันเกี่ยวกับหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ได้ โดยจะต้องขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามวิธีการที่บัญญัติไว้ แต่ก็ห้ามเฉพาะหนี้เงินส่วนหนี้เกี่ยวด้วยการกระทำ งดเว้นกระทำหรือส่งมอบทรัพย์อื่นนอกจากเงินซึ่งเจ้าหนี้ไม่อาจขอรับชำระต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ได้ดังเช่นหนี้ตามคำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้หาได้ห้ามมิให้ฟ้องแต่อย่างใดไม่ ที่โจทก์ขอให้บังคับจำเลยโอนที่ดินรายพิพาทคืนแก่โจทก์และรับเงินค่าหุ้นจากโจทก์กับขอให้ขับไล่ห้างหุ้นส่วนจำกัดอุตสาหกรรมน้ำแข็งตราดผู้ล้มละลายออกไปจากที่ดินรายพิพาทนั้น ไม่เกี่ยวกับการที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยึดที่ดินรายพิพาทอันเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการรวบรวมทรัพย์สินของลูกหนี้ผู้ล้มละลายเพราะโจทก์มิได้ฟ้องว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่มีสิทธิยึดที่ดินรายพิพาทและขอให้สั่งถอนการยึด แต่โจทก์ฟ้องขอให้โอนที่ดินรายพิพาทคืนเป็นการชำระหนี้ตามข้อตกลงหรือสัญญาในการเข้าหุ้นส่วน ไม่ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะยึดหรือไม่ยึดที่ดินรายพิพาท ก็ไม่มีผลกระทบกระทั่งถึงการบังคับชำระหนี้ตามคำฟ้องของโจทก์ ถึงแม้ผลคดีในที่สุดจำเลยอาจถูกบังคับให้โอนที่ดินรายพิพาทแก่โจทก์ อันเป็นเหตุให้ทรัพย์ที่ยึดไว้หลุดพ้นไปจากการยึด ก็เป็นผลอันเกิดจากการชำระหนี้ หาใช่เพราะเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ถูกบังคับให้ถอนการยึดโดยตรงไม่ ดังนั้น โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีนี้ โดยไม่จำต้องปฏิบัติตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 158 และมีอำนาจยื่นฟ้องต่อศาลจังหวัดตราด ซึ่งเป็นศาลที่ที่ดินรายพิพาทตั้งอยู่ในเขต กรณีไม่อยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ประกอบกับพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 153 ซึ่งจะต้องยื่นคำร้องขอต่อศาลที่สั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในสำนวนคดีล้มละลาย

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share