คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1515/2546

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาคำนวณถึงวันที่โจทก์ขอยึดที่ดินพิพาททั้งต้นและดอกเบี้ยรวมมากกว่า 10,000,000 บาท แต่ทรัพย์จำนองทั้งสามแปลงมีราคาตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีรวมไม่ถึง 1,000,000 บาท ที่ดินพิพาทเจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาที่ดิน 98,119,440 บาท แม้ปัจจุบันเป็นชื่อจำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์รวม แต่จำเลยที่ 3 รับมรดกมาจากผู้ค้ำประกันซึ่งต้องรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วม ที่ดินจึงอยู่ในขอบเขตที่อาจถูกบังคับคดีได้ตามคำพิพากษา แม้การบังคับคดีตามคำพิพากษาจะต้องบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองก่อน หากไม่ครบจำนวนหนี้จึงจะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่น แต่การยึดทรัพย์ที่ดินพิพาทสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ยึด หากเพิกถอนการยึดโจทก์ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์โดยไม่มีการขายอัตราร้อยละ 3.5 ซึ่งจะเป็นเงินค่าธรรมเนียมจำนวนมาก เนื่องจากจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองทั้งสามแปลงยังไม่เสร็จสิ้น ก็ยังไม่ทราบจำนวนหนี้ที่เหลือที่จะบังคับคดีต่อไป และนำมาเป็นเกณฑ์คำนวณค่าธรรมเนียมได้ และจากสภาพราคาทรัพย์จำนองเป็นที่เห็นได้ว่าไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษา เมื่อขายทรัพย์จำนองเสร็จก็ต้องกลับมายึดที่ดินพิพาทใหม่ การยึดที่ดินพิพาทไว้แต่ยังไม่ต้องนำออกขายจนกว่ามีการขายทอดตลาดจำนองเสร็จสิ้นและได้เงินไม่พอชำระหนี้ จึงค่อยนำที่ดินพิพาทออกขายนั้นไม่ขัดต่อขั้นตอนการบังคับคดีตามคำพิพากษาและก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 7,337,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน 6,250,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 38922, 20730, 20731 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ หากขายทอดตลาดได้เงินไม่พอชำระหนี้ ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสามขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ เฉพาะจำเลยที่ 3 ไม่ต้องรับผิดเกินกว่าทรัพย์มรดกของนายมนัสหรือนัต ปิ่นทองคำ อันตกได้แก่จำเลยที่ 3 แต่จำเลยทั้งสามไม่ยอมชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์ขอให้บังคับคดี เจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์จำนองคือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 20730, 20731 ออกขายทอดตลาดชำระหนี้ ส่วนที่ดินโฉนดเลขที่ 38922 ได้มีการยึดทรัพย์ออกขายทอดตลาดก่อนแล้ว แต่ขายทอดตลาดทรัพย์จำนองที่ดินทั้งสามแปลงไม่ได้ โจทก์ขอยึดทรัพย์อื่นของจำเลยทั้งสามซึ่งศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ได้นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 11496 ตำบลคลองกิ่ว อำเภอบ้านบึงจังหวัดชลบุรี เนื้อที่ประมาณ 1,500 ไร่ ซึ่งเป็นของจำเลยที่ 3 ที่มีกรรมสิทธิ์รวมกับผู้อื่นออกขายทอดตลาดชำระหนี้

จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีและสั่งเพิกถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11496

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้เพิกถอนคำสั่งเดิมที่อนุญาตให้ยึดทรัพย์ที่ดินโฉนดเลขที่ 11496 และงดการขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าว

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้โจทก์ชำระค่าธรรมเนียมในอัตราร้อยละ3.5 จากราคาทรัพย์ที่ยึด แต่ไม่เกินจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3 จะต้องรับผิดในการบังคับคดีนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า สมควรให้ถอนการยึดที่ดินพิพาทหรือไม่ เห็นว่า หนี้ตามคำพิพากษามีจำนวน 7,337,000 บาท และมีดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากต้นเงิน 6,250,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องคือวันที่ 8 เมษายน 2536 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จด้วย คำนวณแล้วดอกเบี้ยตกปีละ 1,100,550 บาท คำนวณถึงวันที่โจทก์ขอยึดที่ดินพิพาททั้งต้นและดอกเบี้ยรวมมากกว่า10,000,000 บาท ทรัพย์จำนองทั้งสามแปลงมีราคาตามราคาประเมินของเจ้าพนักงานบังคับคดีรวมไม่ถึง 1,000,000 บาท ที่ดินพิพาทแม้ปัจจุบันเป็นชื่อจำเลยที่ 3 ถือกรรมสิทธิ์รวม แต่จำเลยที่ 3 รับมรดกมาจากนายมนัสหรือนัตผู้ค้ำประกันซึ่งต้องรับผิดเป็นลูกหนี้ร่วม ที่ดินแปลงนี้จึงอยู่ในขอบเขตที่อาจถูกบังคับคดีได้ตามคำพิพากษา เจ้าพนักงานบังคับคดีตีราคาที่ดินพิพาท 98,119,440 บาท จริงอยู่แม้การบังคับคดีตามคำพิพากษาจะต้องบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนองก่อน หากไม่ครบจำนวนหนี้จึงจะบังคับเอาแก่ทรัพย์สินอื่น แต่การยึดทรัพย์ที่ดินพิพาทสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นสั่งอนุญาตให้ยึด หากเพิกถอนการยึดเสียทันที โจทก์ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมการยึดทรัพย์โดยไม่มีการขายอัตราร้อยละ 3.5 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะพิพากษาแก้ให้คำนวณจากยอดจำนวนหนี้ที่จำเลยที่ 3 ต้องรับผิดในการบังคับคดีก็คงเป็นยอดหนี้ไม่ต่ำกว่า 10,000,000 บาท เป็นเงินค่าธรรมเนียมจำนวนมาก เนื่องจากจำเลยที่ 3 ต้องรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม และการขายทอดตลาดทรัพย์จำนองทั้งสามแปลงยังไม่เสร็จสิ้น ก็ยังไม่อาจทราบจำนวนหนี้ที่เหลือที่จะบังคับคดีต่อไปและนำมาเป็นเกณฑ์คำนวณค่าธรรมเนียมตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้ อีกประการหนึ่งจากสภาพราคาทรัพย์จำนองเป็นที่เห็นได้ว่าไม่พอชำระหนี้ตามคำพิพากษาเมื่อขายทรัพย์จำนองเสร็จก็ต้องกลับมายึดที่ดินพิพาทใหม่ การยึดที่ดินพิพาทไว้แต่ยังไม่ต้องนำออกขายจนกว่ามีการขายทอดตลาดจำนองเสร็จสิ้นและได้เงินไม่พอชำระหนี้จึงค่อยนำที่ดินพิพาทออกขายก็ไม่ขัดต่อขั้นตอนการบังคับคดีตามคำพิพากษาและก่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น”

พิพากษากลับว่า ให้ยกคำสั่งศาลล่างทั้งสองที่ให้ถอนการยึดที่ดินโฉนดเลขที่ 11496 แต่ให้รอการขายไว้ก่อนจนกว่าการขายที่ดินทรัพย์จำนองทั้งหมดเสร็จสิ้นและได้เงินไม่พอชำระหนี้ จึงอนุญาตให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ 11496 ที่ยึดไว้ออกขาย

Share