คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 203/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พนักงานสอบสวนฟ้องจำเลยต่อศาลแขวงฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร
ชั้นไต่สวนมูลฟ้องจำเลยรับสารภาพฐานรับของโจรศาลแขวงสั่งว่าคดีมีมูลฐานรับของโจร และรับประทับฟ้องโจทก์เห็นว่าว่า ความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวกันเกี่ยวพันกันและต่อเนื่องกันจึงฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์ต่อศาลอาญา ย่อมทำได้ตาม พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2499 มาตรา 16
ในกรณีที่โจทก์ฟ้องหาว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรฐานใดฐานหนึ่งนั้นเมื่อศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องแล้วควรสั่งว่าคดีมีมูลหรือไม่มีมูลเท่านั้น ไม่ควรสั่งว่ามีมูลฐานใดฐานหนึ่ง เพราะเป็นคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้องเท่านั้น ควรให้ศาลซึ่งจะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นเป็นผู้ชี้ขาดต่อไป(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 19/2502)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ตามประมวลกฎหมายลักษณะอาญา มาตรา 335 ศาลแขวงไต่สวนมูลฟ้องและสั่งว่า คดีมีมูลฐานรับของโจรและประทับฟ้อง โจทก์เห็นว่า ความผิดฐานลักทรัพย์และรับของโจรเป็นข้อเท็จจริงอันเดียวกัน เกี่ยวพันกัน จึงฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์

ศาลอาญาสอบโจทก์ ๆ แถลงว่า ชั้นสอบสวน พนักงานสอบสวนฟ้องหาว่าจำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จำเลยรับสารภาพฐานรับของโจร ศาลแขวงจึงสั่งมีมูลและประทับฟ้องฐานรับของโจรส่วนฐานลักทรัพย์มิได้สั่งอย่างไร ศาลอาญามีคำสั่งว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ไม่รับฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาได้วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ว่า โจทก์อาศัย มาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 ฟ้องจำเลยในข้อหาฐานลักทรัพย์ได้เพราะเป็นข้อเท็จจริงอันเกี่ยวพันหรือต่อเนื่องกับข้อเท็จจริงที่ศาลแขวงสั่งมีมูลฐานรับของโจร

ในกรณีที่โจทก์ฟ้องจำเลยฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรนั้น ชั้นไต่สวนมูลฟ้องศาลควรสั่งว่า คดีมีมูลหรือไม่มีมูลเท่านั้นไม่ควรสั่งว่ามีมูลฐานใดฐานหนึ่ง เพราะเป็นคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้องเท่านั้น ไม่จำต้องชี้ขาดว่ามีมูลในความผิดฐานใด ควรให้ศาลซึ่งจะพิจารณาพิพากษาคดีนั้นเป็นผู้ชี้ขาดต่อไป

พิพากษากลับ ให้ศาลอาญาประทับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป

Share