แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เจ้าหนี้ยื่นขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ที่ถูก ช. ฟ้องให้ร่วมรับผิดกับลูกหนี้ และบุคคลอื่นอีก 2 คน โดยให้ร่วมกันคืนหุ้นหรือชดใช้ราคาแทนและใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย ซึ่งตามคำฟ้องดังกล่าวโจทก์ได้ฟ้องเจ้าหนี้ในฐานะเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของลูกหนี้ว่าร่วมกับลูกหนี้และจำเลยอื่นนำหุ้นของโจทก์ไปขายและถอนเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินของโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้ซึ่งถือเป็นตัวแทนของลูกหนี้ได้กระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจอย่างไรอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ดังนั้น หากมีการนำหุ้นของโจทก์ไปขายหรือถอนเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินของโจทก์ไปโดยพลการและลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลผู้เป็นตัวการจะต้องรับผิดต่อโจทก์เจ้าหนี้ซึ่งเป็นพนักงานของลูกหนี้ โดยมีฐานะเป็นตัวแทนของลูกหนี้ก็หาต้องร่วมกับลูกหนี้รับผิดต่อโจทก์ไม่ เจ้าหนี้จึงไม่อยู่ในฐานะลูกหนี้ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 101 และไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์นครหลวงเครดิต จำกัด (มหาชน) (ลูกหนี้) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ 2543
เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในหนี้ที่ถูกฟ้องให้ร่วมรับผิดกับลูกหนี้จำนวน 23,426,334.78 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ รายละเอียดปรากฏตามบัญชีท้ายคำขอรับชำระหนี้
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 104 แล้ว ผู้ชำระบัญชีของลูกหนี้โต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ว่า ดอกเบี้ยที่เจ้าหนี้ขอมาเกินกว่าที่กำหนดไว้ตามพระราชกำหนดการปฏิรูประบบสถาบันการเงิน (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2541 มาตรา 5
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วมีความเห็นว่า ควรยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้รายนี้เสียทั้งสิ้นตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 107 (1)
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดีล้มละลายพิพากษายืน
เจ้าหนี้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งฟังได้ว่า เดิมเจ้าหนี้เป็นพนักงานของลูกหนี้ เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2538 นายเชน เค.เอฟ.เคนเนท เป็นโจทก์ฟ้องเจ้าหนี้ ลูกหนี้ และบุคคลอื่นอีก 2 คน ให้ร่วมกันคืนหุ้นหรือชดใช้ราคาแทนและใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ยต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้เป็นคดีหมายเลขดำที่ 10246/2538 ขณะคดีแพ่งดังกล่าวอยู่ระหว่างการพิจารณา ลูกหนี้ถูกศาลชั้นต้นสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด เจ้าหนี้จึงขอรับชำระหนี้ในจำนวนเงินที่ถูกฟ้องร้องเพราะเจ้าหนี้อาจต้องแพ้คดีตกเป็นลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้รับผิดต่อโจทก์ในคดีแพ่งดังกล่าว มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้ขอรับชำระหนี้ได้หรือไม่ ศาลฎีกาตรวจดูคำฟ้องและคำให้การของเจ้าหนี้ในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ 10246/2538 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ดังกล่าวซึ่งโจทก์ฟ้องกล่าวหาว่าเจ้าหนี้เป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของลูกหนี้และร่วมกันกับลูกหนี้และจำเลยอื่นขายหุ้นของโจทก์รวมทั้งถอนเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินของโจทก์ไปโดยไม่ได้รับความยินยอม ขอให้คืนหุ้นหรือใช้ราคาแทนและใช้เงินตามตั๋วสัญญาใช้เงินพร้อมดอกเบี้ย เจ้าหนี้ให้การต่อสู้คดีว่า เจ้าหนี้เป็นลูกจ้างของลูกหนี้และปฏิบัติหน้าที่ด้วยดี ไม่ได้จงใจหรือประมาทเลินเล่อทำให้โจทก์เสียหาย เจ้าหนี้ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง เห็นว่า ตามคำฟ้องดังกล่าวโจทก์ฟ้องเจ้าหนี้ในฐานะเป็นลูกจ้างหรือตัวแทนของลูกหนี้ว่าร่วมกับลูกหนี้และจำเลยอื่นนำหุ้นของโจทก์ไปขายและถอนเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินของโจทก์ โดยไม่ปรากฏว่าเจ้าหนี้ซึ่งถือเป็นตัวแทนของลูกหนี้ได้กระทำการโดยปราศจากอำนาจหรือทำนอกทำเหนือขอบอำนาจอย่างไรอันจะต้องรับผิดต่อโจทก์เป็นการส่วนตัว ดังนั้น หากจะมีการนำหุ้นของโจทก์ไปขายหรือถอนเงินจากตั๋วสัญญาใช้เงินของโจทก์ไปโดยพลการ และลูกหนี้ซึ่งเป็นนิติบุคคลผู้เป็นตัวการจะต้องรับผิดต่อโจทก์ เจ้าหนี้ซึ่งเป็นพนักงานของลูกหนี้โดยมีฐานะเป็นตัวแทนของลูกหนี้ ก็หาต้องร่วมกับลูกหนี้รับผิดต่อโจทก์ไม่ เจ้าหนี้จึงไม่อยู่ในฐานะลูกหนี้ร่วมกับลูกหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 101 และไม่อาจขอรับชำระหนี้ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองมีคำสั่งและคำพิพากษานั้นชอบแล้ว ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน