คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1512/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ตามข้อบังคับในการปฏิบัติงานของห้างจำเลยระบุว่า ฝ่ายตรวจสอบ ต้องเข้าประชุมทุกเดือนตามแต่ทางห้างกำหนด…..ถ้าฝ่าฝืนจะถูก สั่งพักงานไม่น้อยกว่า 30 วัน ข้อบังคับดังกล่าวถือได้ว่าเป็น ข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม หากฝ่าฝืนจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีสิทธิที่จะสั่งลงโทษพักงานโจทก์ได้ไม่น้อยกว่า 30 วัน การที่จำเลยลงโทษเลิกจ้างโจทก์เพราะไม่เข้าประชุม เป็นการลงโทษที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับดังกล่าว จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม การที่โจทก์ไม่เข้าประชุมเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับในการปฏิบัติงานหรือคำสั่งของจำเลยซึ่งโจทก์เพียงแต่จะต้องถูกสั่งพักงานไม่น้อยกว่า 30 วันเท่านั้น จึงไม่ใช่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยเป็นกรณี ร้ายแรงอันจำเลยจะไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย แต่เป็นการจงใจขัดคำสั่งของ นายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างได้โดยไม่ต้อง บอกกล่าวล่วงหน้า

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรม ขอให้จ่ายค่าเสียหาย ค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าพร้อมดอกเบี้ย จำเลยให้การว่า จำเลยทุจริตต่อหน้าที่ และไม่ยอมมาประชุมโดยไม่มีเหตุอันควรเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ในข้อที่ศาลฎีกาสั่งรับเป็นอุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่เข้าประชุมโดยไม่มีเหตุอันสมควรเป็นการขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยเป็นกรณีร้ายแรงที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม และจำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าเสียหาย ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าตามข้อบังคับในการปฏิบัติงานของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.1 ข้อ 2ระบุว่า “สำหรับฝ่ายตรวจสอบต้องเข้าประชุมทุกเดือนตามแต่ทางห้างกำหนด โดยทางห้างจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 3 วัน ถ้าหากผู้ใดมีกิจจำเป็นไม่สามารถที่จะเข้าประชุมได้ให้แจ้งให้ทางห้างทราบไม่น้อยกว่า 1 วันก่อนถึงวันประชุม ถ้าฝ่าฝืนจะต้องถูกสั่งพักงานไม่น้อยกว่า 30 วัน” ซึ่งข้อบังคับดังกล่าวถือได้ว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตาม หากฝ่าฝืน จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างมีสิทธิที่จะสั่งลงโทษโจทก์โดยสั่งให้โจทก์พักงานได้ไม่น้อยกว่า 10 วัน ตามข้อบังคับดังกล่าวจำเลยไม่อาจที่จะลงโทษโจทก์โดยสั่งเลิกจ้างโจทก์ได้ การที่จำเลยลงโทษโจทก์โดยสั่งเลิกจ้างโจทก์เพราะเหตุที่โจทก์ไม่เข้าประชุมเป็นการขัดคำสั่งของจำเลย เป็นการลงโทษที่ไม่ชอบด้วยข้อบังคับในการปฏิบัติงานซึ่งเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างการที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย และการที่โจทก์ไม่เข้าประชุมเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับในการปฏิบัติงาน ซึ่งโจทก์เพียงแต่จะต้องถูกสั่งพักงานไม่น้อยกว่า 30 วันเท่านั้น การที่โจทก์ฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งของจำเลยในเรื่องนี้จึงมิใช่เป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของจำเลยเป็นกรณีที่ร้ายแรง ซึ่งจำเลยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยดังที่จำเลยอุทธรณ์ ส่วนสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้านั้น เห็นว่า การที่จำเลยไม่เข้าประชุมตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยและตามคำสั่งของจำเลยเป็นการจงใจขัดคำสั่งของนายจ้างอันชอบด้วยกฎหมาย จำเลยมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา583 โจทก์ไม่มีสิทธิได้รับสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า อุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share