คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1511/2499

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินให้โจทก์ กับให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ เพราะทำนาใน พ.ศ.2494 ไม่ได้ เป็นเงิน 1,440 บาท กับปีต่อๆ ไปปีละ 1,440 บาท จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์ ระหว่างอุทธรณ์ฎีกา ศาลสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับตามคำร้องของจำเลย เมื่อศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นในปี พ.ศ.2497 จำเลยก็ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายเป็นรายปีมาจนถึงปี พ.ศ.2497 ด้วย จำเลยจะได้ทำประโยชน์ในที่พิพาทหรือไม่ไม่สำคัญ เพราะจำเลยได้รับทุเลาการบังคับคดีไว้ เรียกได้ว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยยังไม่ยอมออกจากที่พิพาทตามคำพิพากษา
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้แก่โจทก์ และห้ามจำเลยกับบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์แล้ว ในระหว่างอุทธรณ์จำเลยยังเข้าเกี่ยวข้องตัดฟันไม้ในที่ของโจทก์ๆ จึงขอให้ศาลห้ามจำเลย แม้ศาลจะมีคำสั่งห้ามจำเลย และบริวารไม่ให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทก็ดี ก็ถือได้ว่าเป็นคำสั่งชั่วคราว เมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีตามที่จำเลยร้องขอแล้ว ก็เป็นการถอนคำสั่งชั่วคราวที่ศาลชั้นต้นสั่งไปแล้วด้วย

ย่อยาว

คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินพิพาทตามโฉนดที่ 5007 ทางทิศเหนือสุดของโฉนด ภายในเส้นสีแดงในแผนที่กลางเนื้อที่ 20 ไร่ 3 งาน 12 วา ตามที่โจทก์ครอบครองมาให้โจทก์ ถ้าจำเลยไม่ยอมแบ่ง ให้ถือคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ทำนาใน พ.ศ. 2494 ไม่ได้เป็นเงิน 1,440 บาทกับปีต่อ ๆ ไปปีละ 1,440 บาท จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์และค่าฤชาธรรมเนียม ค่าทนายความ 200 บาทให้โจทก์ ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาคงพิพากษายืน

ในระหว่างอุทธรณ์คดีนี้ โจทก์ยื่นคำร้องว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2495 จำเลยบังอาจใช้บุตรและหลานซึ่งอยู่ในบ้านเรือนเดียวกับจำเลย มาตัดฟันต้นขี้เหล็ก ต้นกล้วยในที่ดินของโจทก์เอาไปเป็นประโยชน์ของจำเลย ขอให้เรียกจำเลยมาสอบถามและห้ามอย่าให้จำเลยกับบริวารเข้ามาทำอะไรในที่ดินของโจทก์

ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้ว มีคำสั่งห้ามจำเลยและบริวารบุกรุกเข้ามาตัดฟันต้นไม้และผลไม้ในที่ดินหรือเข้ามาเกี่ยวข้องทำละเมิดกับที่ดินของโจทก์ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป (สั่งวันที่ 12 กันยายน 2495) และออกหมายห้ามชั่วคราว มิให้จำเลยกระทำการดังที่กล่าวข้างต้นด้วย

ระหว่างอุทธรณ์และฎีกา จำเลยได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาสั่งอนุญาตให้ทุเลาการบังคับคดี

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2497 หลังจากศาลฎีกาได้พิพากษาแล้วโจทก์ยื่นคำร้องว่า ศาลฎีกาพิพากษายืน จำเลยจึงต้องรับผิดชอบชดใช้ค่าเสียหายในปี 2496 และ 2497 เป็นเงิน 2,880 บาทให้โจทก์อีกด้วย ขอให้ศาลบังคับจำเลยนำเงินมาชำระ

ศาลชั้นต้นสอบถามจำเลย จำเลยแถลงว่า โจทก์ไม่มีสิทธิจะขอค่าเสียหายในการที่โจทก์ทำนาในปี 2496 และ 2497 ปีละ 1,440 บาทเพราะเมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาจำเลยแพ้คดีแล้ว จำเลยไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องทำประโยชน์ในที่พิพาท แม้จำเลยจะได้ขอทุเลาการบังคับจำเลยก็ไม่ได้เกี่ยวข้างและแถลงว่าเฉพาะปี 2497 ยังไม่หมดฤดูทำนาฝ่ายโจทก์แถลงว่าโจทก์ไม่ได้ทำประโยชน์ในที่พิพาทตั้งแต่เริ่มฟ้องจนกระทั่งคดีถึงที่สุด เพราะเมื่อศาลตัดสินให้จำเลยแพ้ แต่จำเลยได้ขอทุเลาการบังคับไว้ในชั้นอุทธรณ์และฎีกาโจทก์ไม่ได้เข้าเกี่ยวข้องอะไรศาลชั้นต้นสั่งว่า การที่จำเลยขอทุเลาการบังคับในชั้นอุทธรณ์และฎีกานั้น จำเลยยังคงใช้ประโยชน์ในที่พิพาทจำเลยจึงได้ขอทุเลาการบังคับถ้ามีเหตุประการใดที่จำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องและทำประโยชน์ในที่พิพาทจำเลยต้องแถลงให้ศาลทราบเพื่อโจทก์จะได้ทำประโยชน์ต่อไป จึงให้จำเลยใช้ค่าเสียหายในปี 2496 ให้แก่โจทก์เป็นเงิน 1,440 บาท พร้อมทั้งค่าธรรมเนียมในชั้นบังคับคดี ส่วนปี 2497 เพิ่งจะเข้าฤดูทำนาและจำเลยได้ออกไปแล้ว โจทก์ชอบที่จะเข้าทำประโยชน์ต่อไปได้ จำเลยจึงไม่ต้องใช้ค่าเสียหายเฉพาะปี 2497

จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง

ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยยื่นฟ้องอุทธรณ์ ได้ยื่นคำขอทุเลาการบังคับระหว่างอุทธรณ์ ตามคำขอทุเลาการบังคับได้อ้างเหตุว่าหากจำเลยต้องแบ่งที่ดินให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยจะได้รับความเสียหาย จำเลยได้ทำนาพิพาทอยู่ ต้นข้าวกำลังเติบโตจวนได้ข้าวอยู่แล้ว และว่านายถนอมน้องชายจำเลยปลูกบ้านอยู่ในที่พิพาทด้วย ผลของการที่ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์และฎีกา จำเลยได้เก็บเกี่ยวข้าวที่ทำในนาพิพาทและจำเลยกับบริวารคงอยู่ในที่พิพาทตลอดมาจนศาลฎีกาพิพากษาแม้ศาลชั้นต้นจะได้มีคำสั่งลงวันที่ 12 กันยายน 2495 ห้ามจำเลยบริวารเข้าตัดฟันต้นผลไม้ในที่ดินหรือเข้าเกี่ยวข้องทำละเมิดในที่ดินของโจทก์ ก็เป็นการสั่งห้ามกระทำที่เป็นละเมิดที่เป็นอันตรายเสียหายแก่ที่ดิน มิใช่เป็นการห้ามไม่ให้จำเลยเก็บเกี่ยวข้าวที่จำเลยทำในที่พิพาท หรือให้จำเลยออกจากที่พิพาท และต่อมาศาลอุทธรณ์ได้มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์ จำเลยจึงได้รับประโยชน์จากที่พิพาทแล้ว จึงพิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนาย 75 บาท แก่โจทก์ด้วย

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาได้ประชุมพิจารณาแล้ว เห็นว่า คดีนี้เป็นปัญหาเกี่ยวแก่การแปลคำพิพากษา คำพิพากษาคดีนี้ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายที่โจทก์ทำนาใน พ.ศ. 2494 ไม่ได้ เป็นเงิน 1,440 บาท กับปีต่อ ๆ ไปปีละ 1,440 บาท จนกว่าจำเลยจะออกจากที่ดินของโจทก์ คำพิพากษาดังกล่าวหมายความว่า จำเลยจะต้องใช้เงินให้แก่โจทก์เป็นเงินปีละ 1,440 บาท จนกว่าจะออกจากที่ของโจทก์ตามคำพิพากษาจำเลยจะได้ทำประโยชน์ในที่พิพาทหรือไม่ไม่สำคัญ ความสำคัญอยู่ที่ว่าจนกว่าจำเลยจะออกจากที่พิพาทตามคำพิพากษา คดีนี้จำเลยได้ขอทุเลาการบังคับคดีระหว่างอุทธรณ์และฎีกา และศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาได้ให้จำเลยทุเลาการบังคับตลอดมา เรียกได้ว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาโดยยังไม่ยอมออกจากที่พิพาทตามคำพิพากษาข้อที่จำเลยอ้างว่าหลังจากศาลชั้นต้นได้พิพากษาแล้ว ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งห้ามจำเลยและบริวารไม่ให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับที่พิพาทเมื่อศาลมีคำสั่งห้ามแล้ว ก็ต้องถือว่าจำเลยไม่ได้เกี่ยวข้องและทำประโยชน์ในที่พิพาทนั้น เห็นว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นเป็นคำสั่งชั่วคราว เมื่อศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาได้มีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับคดีตามที่จำเลยร้องขอมานั้น เป็นการถอนคำสั่งชั่วคราวที่ศาลชั้นต้นได้สั่งไปแล้ว จึงต้องถือว่าจำเลยยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาจำเลยจะถือเอาเหตุที่ศาลสั่งชั่วคราวมาอ้างมิให้ต้องชดใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาหาได้ไม่ จึงพิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายชั้นฎีกาแทนโจทก์อีก 75 บาท

Share