คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1510/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยกข้อต่อสู้ในคำให้การว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมแต่จำเลยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ข้อใดที่เคลือบคลุมไม่ชัดแจ้งอย่างไรคำให้การของจำเลยจึงแสดงเหตุโดยไม่ชัดแจ้ง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดประเด็นว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ดังนี้ ปัญหาว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบจึงต้องห้าม มิให้อุทธรณ์ฎีกาในปัญหานี้ การที่จำเลยผู้จำนองทำหนังสือมอบอำนาจโดยจำเลยยอมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์จำนองให้แก่โจทก์ หากจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้อันเป็นการฝ่าฝืนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 711 ย่อมมีผลเพียง ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวนั้นไม่สมบูรณ์ โดยโจทก์จะบังคับหรือ ปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้เท่านั้น แต่หามีผล ทำให้นิติกรรมการจดทะเบียนจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลย ในส่วนอื่นที่กระทำโดยชอบต้องเสียไปไม่ สัญญาจำนองระหว่าง โจทก์กับจำเลยจึงยังมีผลใช้บังคับได้ เมื่อจำเลยยังมิได้ ชำระหนี้และจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2531 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน 1,560,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระดอกเบี้ยทุกเดือน และครบกำหนดชำระหนี้ทั้งหมดภายใน 1 ปี โดยจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 3542 ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นประกัน เป็นเงิน 1,560,000 บาท เมื่อครบกำหนดชำระหนี้จำเลยเพิกเฉยไม่ชำระอย่างใด โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามและบอกกล่าวบังคับจำนองแก่จำเลยแต่จำเลยยังคงเพิกเฉย ซึ่งคิดถึงวันฟ้องจำเลยเป็นหนี้ต้นเงิน 1,560,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2531 เป็นเงิน 1,363,050 บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 2,923,050 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 2,923,050 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของเงินต้น 1,560,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้บังคับจำนองนำที่ดินโฉนดเลขที่ 3542 ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ ให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์จนกว่าจะได้รับชำระหนี้จนครบถ้วน
จำเลยให้การว่า การจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยตกเป็นโมฆะเสียเปล่าตั้งแต่วันที่ 10 มีนาคม 2531 จำเลยเป็นหนี้โจทก์เพียง 1,200,000 บาท แต่โจทก์นำดอกเบี้ยที่คิดล่วงหน้า 1 ปี ในอัตราร้อยละ 2.5 ต่อเดือนมารวมไว้ด้วยจำเลยหาจำต้องชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ทั้งหมดไม่ โจทก์ชอบที่จะบังคับจากจำเลยได้เฉพาะต้นเงินฐานลาภมิควรได้เท่านั้น ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 1,560,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 10 มีนาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามโฉนดเลขที่ 3542 ตำบลพระสิงห์ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ หากไม่พอชำระหนี้ ให้บังคับเอาจากทรัพย์สินอื่นของจำเลยจนครบถ้วน
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ เห็นว่า ในคำให้การของจำเลยเพียงแต่ยกข้อต่อสู้ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมโดยมิได้บรรยายว่าสภาพแห่งข้อหาในคำฟ้องของโจทก์ข้อใดที่เคลือบคลุมไม่ชัดแจ้งอย่างไร คำให้การของจำเลยจึงแสดงเหตุโดยไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง ทั้งศาลชั้นต้นก็มิได้กำหนดประเด็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นโดยชอบ จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์และฎีกาในปัญหานี้ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาข้อนี้จึงชอบแล้ว
สำหรับปัญหาข้อต่อไปว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า การที่โจทก์ทำสัญญาจำนองโดยมีข้อตกลงว่าจะโอนที่ดินจำนองให้แก่โจทก์เป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 711 และศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ระหว่างจำเลยกับโจทก์แล้ว โดยวินิจฉัยว่าการจำนองและนิติกรรมการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวไม่สมบูรณ์ สัญญาจำนองจึงเป็นโมฆะเสียเปล่ามาตั้งแต่ต้น โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องคดีนี้นั้นศาลฎีกาเห็นว่าการที่จำเลยผู้จำนองและโจทก์ผู้รับจำนองได้ทำหนังสือมอบอำนาจโดยจำเลยยอมโอนที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นทรัพย์จำนองให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยผิดนัดไม่ชำระหนี้อันเป็นการฝ่าฝืนบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 711 ย่อมมีผลเพียงทำให้ข้อตกลงดังกล่าวนั้นไม่สมบูรณ์โดยโจทก์จะบังคับหรือปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวไม่ได้เท่านั้นหามีผลทำให้นิติกรรมการจดทะเบียนจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยในส่วนอื่นที่กระทำโดยชอบต้องเสียไปหรือไม่สมบูรณ์แต่อย่างใด เมื่อปรากฏว่าจำเลยยังมิได้ชำระหนี้และจดทะเบียนไถ่ถอนจำนอง สัญญาจำนองระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงยังมีผลใช้บังคับได้ โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องจำเลย
พิพากษายืน

Share