คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2293/2530

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน 50,000 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1, ที่ 2 และที่ 4 ใช้ค่าเสียหายจำนวน 37,000 บาท แก่โจทก์ที่ 2 ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ 1 แล้ว พิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ตามฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นดังนี้ คดีต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง
ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่นทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสต่อสู้คดีได้เต็มภาคภูมิ และศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไป เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการส่งประเด็นและการกำหนดค่าเสียหาย จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริง.

ย่อยาว

คดีสองสำนวนนี้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันโดยเรียกนายสงครามเป็นโจทก์ที่ ๑ บริษัทประกันภัยไทยวิวัฒน์ จำกัด เป็นโจทก์ที่ ๒ และเรียกนายแก้ว นายสมจิต นายวุฒิไกร และบริษัทพิพัทธ์ประกันภัย จำกัด เป็นจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ตามลำดับ
สำนวนแรกโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้ขับรถยนต์บรรทุกในทางการที่จ้างโดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ เสียหายรวม ๖๘,๗๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ ได้จ่ายค่าซ่อมรถยนต์ของโจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๓๗,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๔ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๖๘,๗๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓๙,๓๐๐ บาท
จำเลยที่ ๑ และที่ ๓ ขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยที่ ๑ ขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ ให้การว่าเหตุเกิดเพราะความประมาทเลินเล่อของคนขับรถโจทก์ที่ ๑ โจทก์ทั้งสองไม่ได้เสียหายมากดังฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
สำนวนหลังโจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างผู้ปฏิบัติงานในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เสียหาย โจทก์ต้องเสียค่าซ่อมเป็นเงิน ๒๓,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๔ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันที่จำเลยที่ ๑ ขับ จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้เงินจำนวน ๒๓,๐๐๐ บาท แก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ ให้การว่าผู้ที่ขับรถยนต์คันที่โจทก์รับประกันภัยไว้เป็นฝ่ายที่ขับรถยนต์โดยประมาทเลินเล่อชนรถยนต์ของจำเลยที่ ๓ เสียหาย จำเลยที่ ๑และที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บ โจทก์ไม่เสียหายมากดังฟ้องฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ใช้เงินจำนวน ๕๖,๒๐๐ บาทและดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ ๑ ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ใช้เงินจำนวน ๓๗,๐๐๐ บาท และดอกเบี้ยแก่โจทก์ที่ ๒ ให้ยกฟ้องจำเลยที่ ๓ ที่ ๕ และที่ ๖ ให้ยกฟ้องของจำเลยที่ ๔
จำเลยที่ ๒ และที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ แล้ว พิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามฟ้องแก่โจทก์ทั้งสอง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีสองสำนวนนี้สำนวนแรกโจทก์ที่ ๒ ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๓๙,๓๐๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๒ สำนวนหลังจำเลยที่ ๔ ฟ้องขอให้บังคับโจทก์ทั้งสองกับจำเลยที่ ๕ และที่ ๖ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๒๔,๗๑๕ บาทแก่จำเลยที่ ๔ จึงเป็นคดีที่มีทุนทรัพย์ที่พิพาทไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ ใช้ค่าเสียหายจำนวน ๓๗,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ที่ ๒ และยกฟ้องของจำเลยที่ ๔ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ถอนฟ้องจำเลยที่ ๑ แล้ว จึงพิพากษาแก้เป็นว่าไม่บังคับให้จำเลยที่ ๑ ชำระหนี้ตามฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น คดีจึงต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง ที่จำเลยที่ ๔ ฎีกาว่าศาลชั้นต้นสั่งตัดพยานจำเลยที่ ๔ ที่ขอส่งประเด็นไปสืบที่ศาลอื่น ทำให้จำเลยเสียเปรียบไม่มีโอกาสสู้คดีได้เต็มภาคภูมิและศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายสูงเกินไปนั้น เห็นว่า เป็นฎีกาโต้แย้งดุลพินิจของศาลชั้นต้นเกี่ยวกับการส่งประเด็นและการกำหนดค่าเสียหายจึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๕ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ ๔.

Share