แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนการบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ของจำเลยที่ 3 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกคำร้องของจำเลยที่ 3 ก่อนจำเลยที่ 3 ยื่นฎีกา จำเลยที่ 3ถูกศาลชั้นต้นสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดในคดีล้มละลาย ดังนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 22,25 ย่อมเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าว่าคดีและยื่นฎีกาแทนจำเลยที่ 3 การที่จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาด้วยตนเองภายหลังถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ฎีกาของจำเลยที่ 3 จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบปัญหานี้เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้ ภายหลังจำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาคดีนี้แล้ว จำเลยที่ 3 ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาคดีล้มละลายใหม่ กับยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีการอฟังผลการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีล้มละลายใหม่นั้น แม้หากภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีล้มละลายใหม่ตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ก็มีผลเพียงลบล้างคำพิพากษาและกระบวนพิจารณาในคดีล้มละลายดังกล่าวเท่านั้น หาได้ลบล้างกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบในคดีนี้ด้วย จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องรอฟังผลการไต่สวนคำร้องขอพิจารณาคดีล้มละลายใหม่
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์จำเลยทั้งสี่ทำสัญญาประนีประนอมยอมความโดยจำเลยทั้งสี่ตกลงชำระเงินจำนวน 6,474,329.29 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ หากผิดนัดให้ยึดทรัพย์จำนองและทรัพย์สินอื่นของจำเลยทั้งสี่ออกขายทอดตลาด ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ต่อมาจำเลยทั้งสี่ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ขอให้บังคับคดีและนำเจ้าพนักงานบังคับคดีทำการยึดทรัพย์ที่ดิน โฉนดเลขที่ 58545,58547 แขวงบางนา เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร และที่ดินโฉนดเลขที่ 115231 แขวงคลองเตย เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และได้ขายทอดตลาดทรัพย์ดังกล่าวไปเมื่อวันที่8 พฤษภาคม 2532 จำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้ง 3 แปลงดังกล่าวยื่นคำร้องลงวันที่ 12 พฤษภาคม 2532 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการขายทอดตลาด อ้างเหตุว่าราคาทรัพย์ที่เจ้าพนักงานบังคับคดีประเมินไว้เป็นราคาประเมินในขณะยึด ซึ่งในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงสูงขึ้น ราคาที่ขายทอดตลาดเป็นราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก จำเลยที่ 3 ได้คัดต้านการขายทอดตลาดต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันขายทอดตลาดแล้ว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 3 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 3 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า จำเลยที่ 3ยื่นฎีกาคดีนี้เมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2533 แต่ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2533 ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 3 เด็ดขาด ในคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ 519/2533 ของศาลชั้นต้น เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483มาตรา 22, 25 บัญญัติให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่ผู้เดียวมีอำนาจเข้าว่าคดีแทนจำเลยที่ 3 นับแต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยที่ 3 ดังนั้นที่จำเลยที่ 3 ยื่นฎีกาคดีนี้ด้วยตนเองภายหลังถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ฎีกาของจำเลยที่ 3จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นเรื่องอำนาจฟ้อง เป็นปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาย่อมยกขึ้นวินิจฉัยได้ส่วนที่จำเลยที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้รอฟังผลการไต่สวนในคดีล้มละลายก่อนนั้น เห็นว่า แม้หากภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้พิจารณาคดีล้มละลายดังกล่าวใหม่ตามคำร้องของจำเลยที่ 3 ก็มีผลเพียงลบล้างคำพิพากษาและกระบวนพิจารณาในคดีล้มละลายดังกล่าวเท่านั้น มิได้ลบล้างกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบในคดีนี้ด้วย จึงไม่มีเหตุที่จะต้องรอฟังผลคดีล้มละลายดังกล่าว
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 3 และให้ยกคำร้องของจำเลยที่ 3 เสียด้วย