คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1503/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

หนี้ตามคำพิพากษาเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดซึ่งมีอายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/32การที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษามาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายภายในกำหนด10ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาซึ่งอยู่ภายในกำหนดอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้วย่อมมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่พระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483บัญญัติไว้โดยเฉพาะอันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา193/14(2)คดีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่อีก ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด10ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาและเมื่อการฟ้องคดีนี้มีผลทำให้อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดสะดุดหยุดลงแล้วระยะเวลาภายหลังจากนั้นจึงไม่นับเข้าเป็นอายุความด้วยกรณีมิใช่เรื่องการบังคับคดีไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา271มาใช้บังคับเมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483มาตรา8,14แม้ต่อมาในระหว่างการพิจารณาและก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดจะพ้นกำหนด10ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแล้วก็ตามก็หามีผลต่อคดีไม่ส่วนข้อที่ว่าโจทก์จะขอรับชำระหนี้ได้หรือไม่เป็นเรื่องที่จะไปว่ากล่าวกันในชั้นขอรับชำระหนี้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าหนี้จำเลยทั้งสองกับพวกตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5797/2526 ของศาลชั้นต้นแต่จำเลยทั้งสองกับพวกไม่ชำระหนี้ตามคำพิพากษาซึ่งคิดถึงวันที่ 3 มิถุนายน 2536 เป็นหนี้โจทก์ทั้งสิ้น 5,589,524.85 บาทโจทก์ทวงถามจำเลยทั้งสองแล้ว จำเลยทั้งสองไม่ชำระและไม่มีทรัพย์สินอื่นใดที่โจทก์จะยึดมาชำระหนี้ได้ พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสองเข้าข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัว ขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยทั้งสองเป็นบุคคลล้มละลาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์มิได้ดำเนินการบังคับคดีในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5797/2526 ของศาลชั้นต้น ภายในกำหนดเวลา10 ปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 จึงไม่อาจจะนำมูลหนี้ตามคำพิพากษาที่พ้นกำหนดการบังคับแล้วมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้เป็นบุคคลล้มละลายในคดีนี้ได้ แม้โจทก์จะฟ้องคดีนี้ภายในกำหนด10 ปี ก็หาทำให้การบังคับคดีสะดุดหยุดลงไม่ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ทั้ง สอง ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังยุติได้ว่า จำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5797/2526ของศาลชั้นต้นซึ่งศาลพิพากษาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2526 คดีถึงที่สุด จำเลยทั้งสองมิได้ชำระหนี้ตามคำพิพากษา โจทก์จึงนำมูลหนี้ตามคำพิพากษามาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2536 ซึ่งหนี้ตามคำพิพากษาคิดถึงวันฟ้องเป็นเงินทั้งสิ้น 5,589,524.85 บาท จำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้ คดีมีปัญหาข้อแรกที่จำเลยทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ได้ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5797/2526 ของศาลชั้นต้นซึ่งเป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องอันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(2) มาแล้วจะทำซ้ำอีกไม่ได้ เพราะจะทำให้อายุความไม่มีที่สิ้นสุด การที่โจทก์นำมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวมาฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายเป็นคดีนี้อีก จึงไม่ใช่เป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามบทบัญญัติดังกล่าวนั้น เห็นว่าหนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5797/2526 ของศาลชั้นต้นเป็นสิทธิเรียกร้องที่เกิดขึ้นโดยคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดซึ่งมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/32การที่โจทก์นำหนี้ตามคำพิพากษามาเป็นมูลฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายภายในกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาซึ่งอยู่ภายในกำหนดอายุความตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้วย่อมมีผลเท่ากับเป็นการฟ้องคดีเพื่อให้ชำระหนี้อย่างหนึ่งตามวิธีการที่พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483บัญญัติไว้โดยเฉพาะอันทำให้อายุความสะดุดหยุดลงตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14(2) คดีก็ไม่จำต้องวินิจฉัยว่าการที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการตั้งหลักฐานสิทธิเรียกร้องอันจะทำให้อายุความสะดุดหยุดลงหรือไม่อีก
ปัญหาข้อต่อไปซึ่งจำเลยทั้งสองฎีกาว่า หนี้ตามคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 5797/2526 ของศาลชั้นต้น ศาลมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2526 โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ล้มละลายเป็นคดีนี้เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2536 ซึ่งต่อมาในระหว่างการพิจารณาและก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด โจทก์หมดสิทธิที่จะบังคับคดีตามคำพิพากษาในคดีแพ่งดังกล่าวเพราะพ้นกำหนด 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาแล้ว แม้ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาด โจทก์ก็ไม่อาจนำมูลหนี้ที่หมดสิทธิบังคับแล้วดังกล่าวไปขอรับชำระหนี้ได้ สมควรที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องนั้น เห็นว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่พ้นกำหนด10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษา และเมื่อการฟ้องคดีนี้มีผลทำให้อายุความแห่งสิทธิเรียกร้องในหนี้ตามคำพิพากษาของศาลที่ถึงที่สุดสะดุดหยุดลงดังได้วินิจฉัยมาแล้ว ระยะเวลาภายหลังจากนั้นจึงไม่นับเข้าเป็นอายุความด้วย กรณีมิใช่เรื่องการบังคับคดีไม่อาจนำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 มาใช้บังคับ เมื่อปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเป็นหนี้โจทก์ตามคำพิพากษาเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าห้าหมื่นบาท และจำเลยทั้งสองไม่มีทรัพย์สินพอที่จะชำระหนี้ได้ซึ่งต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 ว่า เป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวก็ชอบที่ศาลจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดตามมาตรา 14 แม้ต่อมาในระหว่างการพิจารณาและก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดจะพ้นกำหนด 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแล้วก็ตามก็หามีผลต่อคดีไม่ ส่วนข้อที่ว่าโจทก์จะขอรับชำระหนี้ได้หรือไม่ เป็นเรื่องที่จะไปว่ากล่าวกันในชั้นขอรับชำระหนี้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยทั้งสองเด็ดขาดชอบแล้ว
พิพากษายืน

Share