แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 4 ให้รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกัน ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยที่ 4 สัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอมหากศาล ฟังว่าจำเลยที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ แต่หนี้ที่จำเลยที่ 4 ค้ำประกันได้กำหนดจำนวนเงินและเวลา ในการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ไว้แน่นอน เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้โจทก์ได้ผ่อนเวลาในการชำระหนี้ ให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 4 ผู้ค้ำประกันไม่ได้ให้ความยินยอม จำเลยที่ 4 จึงหลุดพ้นความรับผิด คำให้การดังกล่าวไม่ชัดแจ้ง ว่าจำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์หรือไม่ ไม่ชอบ ด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสองคงเป็นเพียงคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ จำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธิ นำพยานหลักฐานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ตามคำให้การดังกล่าว ดังนั้น จึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้จำเลยที่ 4 เลื่อนคดีไป สืบพยานจำเลยที่ 4 ในประเด็นที่ว่า จำเลยที่ 4 ต้องรับผิด ตามสัญญาค้ำประกันที่โจทก์นำมาฟ้องหรือไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ได้นำเช็คธนาคารกสิกรไทยสาขาเสาชิงช้า จำนวนเงิน 2,600,000 บาท เป็นเช็คไม่ลงวันที่มีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นผู้สั่งจ่ายมาขายลดแก่โจทก์อัตราดอกเบี้ยร้อยละ 21 ต่อปี มีข้อกำหนดว่าเช็คที่ขายลดมีวันถึงกำหนดไม่เกิน 90 วัน นับแต่วันขายลดโดยมีจำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 เป็นผู้ค้ำประกันยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมครบกำหนด90 วัน ตามสัญญาวงเงินขายลดตั๋วเงินจำเลยที่ 1 ขอผัดผ่อนต่อโจทก์มิให้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินโดยจำเลยที่ 1 ยอมเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ในต้นเงิน 2,600,000 บาท จนกว่าจะชำระหนี้โจทก์จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์ถึงวันที่ 31สิงหาคม 2537 แล้วผิดนัดชำระดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 1 กันยายน2537 วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์นำเช็คเข้าบัญชีของโจทก์เพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโจทก์ทวงถามให้จำเลยทั้งสี่ชำระเงินตามเช็คพร้อมดอกเบี้ยแล้วแต่จำเลยทั้งสี่เพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินตามเช็คจำนวน 2,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2537 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยที่ 1ผิดนัดชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 300,673.97 บาท และดอกเบี้ยในอัตราดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องจนถึงวันที่ชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 4 ให้การว่า หนังสือมอบอำนาจให้ฟ้องคดีของโจทก์เป็นโมฆะ จำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเช็คไปขายลดแก่โจทก์ และจำเลยที่ 4ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกัน ลายมือชื่อของผู้ค้ำประกันมิใช่ลายมือชื่อของจำเลยที่ 4 สัญญาค้ำประกันเอกสารท้ายฟ้องเป็นเอกสารปลอมแม้ศาลจะฟังว่าจำเลยที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันจำเลยที่ 1 ไว้ต่อโจทก์ แต่หนี้ที่จำเลยที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้แน่นอน ครั้นถึงกำหนดเวลาชำระหนี้โจทก์ได้ผ่อนเวลาชำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยผู้ค้ำประกันมิได้ให้ความยินยอมด้วยจำเลยที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันย่อมหลุดพ้นความรับผิดจำเลยที่ 1 ไม่ได้นำเช็คไปขายลดแก่โจทก์และไม่ได้รับเงินจากโจทก์ สัญญาวงเงินขายลดตั๋วเงินเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 6ไม่ได้กำหนดอัตราดอกเบี้ยในกรณีลูกหนี้มิได้ชำระหนี้ภายใน 90 วัน นับแต่วันทำสัญญาไว้ ดังนั้น เมื่อลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ภายในกำหนด โจทก์จึงเรียกดอกเบี้ยได้ในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีและสัญญาเลิกกันเมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2538 โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี ขอให้ยกฟ้อง
หลังจากโจทก์สืบพยานแล้ว จำเลยที่ 4 เข้าเบิกความเป็นพยาน 1 ปาก และขอเลื่อนคดีเพื่อจะนำจำเลยที่ 1 และที่ 2เข้าสืบ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3ขาดนัดยื่นคำให้การ และข้อที่จำเลยที่ 4 ประสงค์จะสืบพยานไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างอื่นเพราะข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบมาชัดแจ้งอยู่แล้ว ให้ตัดพยานจำเลยที่ 4 ที่เหลือ แล้วศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กันยายน 2537 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 4 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาวินิจฉัยว่ามีเหตุสมควรอนุญาตให้จำเลยที่ 4 เลื่อนคดีไปสืบพยานปากจำเลยที่ 1 และที่ 2หรือไม่ จำเลยที่ 4 ฎีกาว่า ประสงค์นำจำเลยที่ 1 และที่ 2เข้าสืบข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าจำเลยที่ 4 ต้องรับผิดตามสัญญาค้ำประกันเอกสารหมาย จ.15 หรือไม่ และการสืบพยานดังกล่าวทำให้ผลการวินิจฉัยในเรื่องดอกเบี้ยที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์เปลี่ยนแปลงไป เห็นว่า โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 4 รับผิดในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 4 ให้การว่า จำเลยที่ 4 ไม่ได้ทำสัญญาค้ำประกัน ลายมือชื่อผู้ค้ำประกันในสัญญาค้ำประกันไม่ใช่ลายมือชื่อจำเลยที่ 4 สัญญาค้ำประกันเป็นเอกสารปลอม หากศาลฟังว่าจำเลยที่ 4 ทำสัญญาค้ำประกันหนี้ที่จำเลยที่ 4 ค้ำประกันได้กำหนดจำนวนเงินและเวลาในการชำระหนี้ของจำเลยที่ 1 ผู้เป็นลูกหนี้ไว้แน่นอน เมื่อถึงกำหนดเวลาชำระหนี้โจทก์ได้ผ่อนเวลาในการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 4 ผู้ค้ำประกันไม่ได้ให้ความยินยอมจำเลยที่ 4จึงหลุดพ้นความรับผิด คำให้การดังกล่าวเป็นคำให้การที่ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยที่ 4 ได้ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์หรือไม่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง คงเป็นเพียงคำให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์จำเลยที่ 4 ไม่มีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบตามข้อต่อสู้ จึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้จำเลยที่ 4 เลื่อนคดีไปสืบพยานปากจำเลยที่ 1 และที่ 2
พิพากษายืน