คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2086/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

สัญญาพิพาททำขึ้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1ในฐานะกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 1 ลงชื่อในฐานะตัวแทนนิติบุคคลและไม่มีข้อความใดในสัญญาระบุว่าจำเลยที่ 1 กระทำในฐานะส่วนตัวสัญญาพิพาทจึงมีผลบังคับระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เท่านั้นหาผูกพันจำเลยที่ 1 ไม่ สัญญาพิพาทเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ อันเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง การฟังพยานหลักฐานในกรณีเช่นนี้ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94 เมื่อสัญญาพิพาท ระบุว่าจำเลยที่ 1 กระทำการในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 โจทก์จะนำพยานบุคคลมาสืบว่าจำเลยที่ 1 กระทำในฐานะส่วนตัว อันเป็นการนำสืบให้เห็นข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาพิพาทไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัดมีจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการมีอำนาจกระทำการแทนได้ จำเลยที่ 1ในฐานะส่วนตัวและในฐานะกรรมการผู้จัดการที่มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 2 ได้ร่วมกันหลอกลวงโจทก์ว่าจำเลยทั้งสองได้เข้าทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินโฉนดเลขที่ 557 พร้อมทั้งตึกแถวเลขที่ 285/13จากเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว จำเลยทั้งสองมีสิทธิที่จะขายที่ดินพร้อมตึกแถวดังกล่าวให้แก่โจทก์ และสามารถที่จะทำการโอนที่ดินพร้อมตึกแถวให้แก่โจทก์ได้ โจทก์หลงเชื่อจึงได้ตกลงทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 285/13กับจำเลยทั้งสอง โดยโจทก์ได้ออกเช็ค 6 ฉบับ รวมเป็นเงิน 1,700,000บาท ชำระราคาที่ดินและตึกแถวดังกล่าวให้แก่จำเลยทั้งสองไปในวันทำสัญญา ต่อมาธนาคารตามเช็คได้จ่ายเงินตามเช็ค 4 ฉบับรวมเป็นเงิน 1,200,000 บาท แล้ว ครั้นถึงกำหนดวันที่จำเลยทั้งสองตกลงจะโอนที่ดินและตึกแถวให้แก่โจทก์ จำเลยทั้งสองไม่โอนที่ดินและตึกแถวให้ตามสัญญา ต่อมาโจทก์ได้ไปติดต่อกับเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินจึงทราบว่าจำเลยทั้งสองไม่เคยไปติดต่อทำสัญญาจะซื้อจะขายหรือขอซื้อที่ดินและตึกแถวจากเจ้าของกรรมสิทธิ์ตามที่จำเลยทั้งสองอ้างแต่อย่างใด สัญญาจะซื้อจะขายและใบมอบอำนาจที่จำเลยทั้งสองนำไปอ้างกับโจทก์เป็นเอกสารปลอม จำเลยทำขึ้นเพื่อหลอกลวงโจทก์เท่านั้น โจทก์ได้ไปติดต่อให้จำเลยทั้งสองคืนเงินจำนวน 1,200,000บาท จำเลยทั้งสองเพิกเฉย ไม่ชำระคืนแก่โจทก์ ขอศาลพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน 2,473,750 บาท แก่โจทก์พร้อมทั้งดอกเบี้ย
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยที่ 2 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินกับโจทก์ในราคา 1,700,000 บาท ต่อมาปรากฏว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาในการชำระเงินรายงวดในงวดที่ 4 และงวดที่ 6 โดยเช็คที่โจทก์สั่งจ่ายเพื่อชำระเงินในงวดดังกล่าวนั้น ไม่สามารถเรียกเก็บเงินจากธนาคารได้ จำเลยที่ 2 ติดตามทวงเงินดังกล่าวจากโจทก์โจทก์ก็ไม่จัดการชำระให้ เมื่อโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องอะไรจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 1,200,000บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ย คำขอของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาในชั้นฎีกาว่า จำเลยที่ 1จะต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะส่วนตัวร่วมกับจำเลยที่ 2 ด้วยหรือไม่คดีนี้โจทก์ฟ้องตั้งรูปคดีให้จำเลยที่ 1 ร่วมกับจำเลยที่ 2 รับผิดต่อโจทก์ในมูลละเมิดและสัญญา โดยกล่าวในฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันหลอกลวงโจทก์ให้เข้าทำสัญญากับจำเลยทั้งสองและจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันทำสัญญาพิพาทกับโจทก์ สำหรับความรับผิดในมูลละเมิดนั้นข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่า จำเลยทั้งสองมิได้สมคบกันหลอกลวงโจทก์ให้เข้าทำสัญญาด้วย จำเลยที่ 1 จึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์และไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ส่วนความรับผิดในมูลสัญญานั้น โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 2 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 1เป็นกรรมการผู้จัดการผู้มีอำนาจกระทำการแทนได้ โจทก์ได้ตกลงจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตึกแถวเลขที่ 285/13 กับจำเลยทั้งสอง ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันรับผิดตามสัญญาดังกล่าวอันเป็นสัญญาพิพาท คือเอกสารหมาย จ.4 ศาลฎีกาได้ตรวจดูสัญญาพิพาทตามเอกสารหมาย จ.4 นั้นแล้ว ปรากฏว่าสัญญาดังกล่าวทำระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 1 ในฐานะกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 1ลงชื่อในฐานะตัวแทนนิติบุคคล ไม่มีข้อความใดในสัญญาระบุว่าจำเลยที่ 1 กระทำในฐานะส่วนตัว สัญญาพิพาทจึงมีผลบังคับระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 เท่านั้น หาผูกพันจำเลยที่ 1 ไม่ ส่วนข้อที่จำเลยที่ 1 ติดต่อกับเจ้าของที่ดินและตึกแถวเพื่อนำที่ดินและตึกแถวออกให้เช่าหรือขายนั้นเป็นคนละส่วนคนละตอนกับสัญญาจะซื้อจะขายฉบับพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 อนึ่งสัญญาพิพาทเป็นสัญญาจะซื้อจะขายอสังหาริมทรัพย์ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 456 วรรคสอง บังคับว่าต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ อันเป็นกรณีที่กฎหมายบังคับให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดง การฟังพยานหลักฐานในกรณีเช่นนี้ต้องอยู่ในบังคับของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 คู่ความจะนำพยานบุคคลมาสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในสัญญาพิพาทไม่ได้ เมื่อสัญญาพิพาทตามเอกสารหมาย จ.4 ระบุว่าจำเลยที่ 1 กระทำการในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 โจทก์จะนำพยานบุคคลมาสืบว่าจำเลยที่ 1กระทำในฐานะส่วนตัวอันเป็นการนำสืบให้เห็นข้อเท็จจริงแตกต่างไปจากข้อความที่ระบุไว้ในสัญญาพิพาทไม่ได้ ศาลจึงต้องฟังข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในสัญญาพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ทำสัญญาพิพาทในฐานะกรรมการผู้จัดการของจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ในฐานะส่วนตัว ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 1ร่วมรับผิดด้วย ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยที่ 1ฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 1 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share