แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
พยานโจทก์เบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอดได้ความว่าจำเลยได้จำหน่ายเฮโรอีนที่มีไว้ในครอบครองให้แก่ผู้ล่อซื้อ 1 หลอดในราคา 550 บาทโดยมิได้รับอนุญาต เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมเฮโรอีน 3 หลอด และธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อเป็นของกลาง แม้การเบิกความบางตอนจะแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียงพลความมิใช่สาระสำคัญที่จะทำให้คำพยานโจทก์เหล่านั้นมีน้ำหนักน้อยลงถึงกับรับฟังไม่ได้โดยเฉพาะพยานโจทก์ทั้งสามต่างเป็นข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ไม่รู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษ จำเลยเองก็รับอยู่ว่าในวันเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจยึดเฮโรอีนพร้อมเงินสดจำนวน600 บาท ของกลางได้จากจำเลยจริง เพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้นั้นมีผู้นำมาฝากจำเลยไว้ โดยจำเลยไม่ทราบว่าของที่นำมาฝากนั้นเป็นเฮโรอีน ซึ่งผิดวิสัยที่คนทั่วไปจะรับของฝากไว้ โดยไม่รู้จักกับคนที่ฝากเลย ดังนี้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยได้กระทำผิด.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 และริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66 วรรคหนึ่ง ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 10 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีนจำคุก 10 ปีรวมจำคุก 20 ปี คำเบิกความรับของจำเลยบางส่วนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง อันเป็นเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 13 ปี 4 เดือน เฮโรอีนของกลางริบ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้วทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2533 เวลาประมาณ9 นาฬิกา ขณะที่จ่าสิบตำรวจอดุลย์ ชาญประเสริฐ กับพลตำรวจบรรเจิดพลศารทูล เจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจพิเศษกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี ออกตรวจท้องที่ไปถึงหมู่บ้านลิเก ตำบลโพธิ์พะเยาอำเภอเมืองสุพรรณบุรี จังหวัดสุพรรณบุรี พบชายคนหนึ่งทราบชื่อภายหลังว่านายสมชายขี่รถจักรยานผ่านมามีท่าทางพิรุธ จึงขอตรวจค้นแต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย จากการสอบถามนายสมชายได้ความว่าเคยไปซื้อเฮโรอีนที่ร้านเสริมสวยไม่มีชื่อเจ้าของร้านชื่อตั๋วร้านอยู่ใกล้สามแยกโพธิ์พระเยา และสามารถซื้อเฮโรอีนได้จ่าสิบตำรวจอดุลย์ได้นำนายสมชายไปพบร้อยตำรวจโทบุญเกื้อ ธันดาหัวหน้าสายตรวจพิเศษร้อยตำรวจโทบุญเกื้อทราบเรื่องแล้วจึงวางแผนเพื่อจับกุม โดยนำธนบัตรฉบับละ 500 บาท 1 ฉบับ และฉบับละ 100 บาทอีก 1 ฉบับ ไปลงบันทึกประจำวันและถ่ายภาพธนบัตรดังกล่าวไว้ตามสำเนาภาพถ่ายหมาย จ.1 และ จ.2 จากนั้นได้ให้พลตำรวจประยุทธโพธิ์หอม และนายสมชายไปล่อซื้อเฮโรอีน โดยร้อยตำรวจโทบุญเกื้อกับพวกอีกจำนวนหนึ่งซุ่มรออยู่ห่างจากร้านเสริมสวยที่เข้าไปล่อซื้อประมาณ 30 เมตร นายสมชายและพลตำรวจประยุทธซื้อเฮโรอีนได้จากจำเลย 1 หลอด เป็นเงิน 550 บาท จำเลยทอนเงินคืนให้ 50 บาทหลังจากนั้นพลตำรวจประยุทธได้แจ้งให้ร้อยตำรวจโทบุญเกื้อทราบทางวิทยุมือถือ ร้อยตำรวจโทบุญเกื้อกับพวกจึงเข้าจับกุม จำเลยนำร้อยตำรวจโทบุญเกื้อไปค้นเอาเฮโรอีนที่เหลือได้อีก 2 หลอดที่ครัวหลังร้าน และยอมคืนธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อแก่ร้อยตำรวจโทบุญเกื้อทั้งหมด ร้อยตำรวจโทบุญเกื้อจึงนำจำเลยพร้อมของกลางไปมอบให้แก่ร้อยตำรวจเอกสุรพล ปัญญาประดิษฐ์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรีดำเนินคดี ของกลางที่ยึดได้ตรวจพิสูจน์แล้วเป็นเฮโรอีนมีน้ำหนัก 2.54 กรัม ชั้นจับกุมและสอบสวนจำเลยให้การรับสารภาพ
จำเลยนำสืบว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 8 นาฬิกา มีชายคนหนึ่งซึ่งจำเลยไม่รู้จักแต่เคยเห็นหน้า นำห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ 2 ห่อมัดรวมกันมาฝากไว้บอกว่าบ่าย ๆ จะให้หลานมาเอา จำเลยนำของดังกล่าวไปเก็บไว้ ในวันเดียวกันเวลาประมาณ 12 นาฬิกา มีชาย 2 คน มาที่ร้านจำเลย จำเลยเคยเห็นหน้าชายคนหนึ่งแต่ไม่รู้จักชื่อ ส่วนชายอีกคนหนึ่งจำเลยไม่รู้จัก ชายคนที่จำเลยเคยเห็นหน้าถามถึงของที่มีคนนำมาฝากไว้ จำเลยจึงนำมาให้ดู ชายนั้นแกะเอาไปเพียง 1 ห่อส่วนที่เหลือคืนให้จำเลยพร้อมกับมอบเงินให้ 600 บาท บอกว่าหากคนฝากมาให้เอาเงินให้ด้วย จำเลยเอาของไปเก็บไว้ที่เดิมจากนั้นชายคนที่มาด้วยซึ่งจำเลยไม่รู้จักแสดงตนเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและรายงานทางวิทยุ มีชายอีกหลายคนเข้ามาในร้าน จำเลยทราบในภายหลังว่าเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ ถามจำเลยว่ายังมีเฮโรอีนอีกหรือไม่ จำเลยว่าไม่ทราบว่าเป็นอะไร มีคนนำมาฝากไว้พร้อมนำของที่เหลือมอบให้ และคืนเงิน 600 บาท ให้ไปด้วย จากนั้นเจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยส่งพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเมืองสุพรรณบุรีสอบสวนดำเนินคดี
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่ไม่โต้เถียงกันฟังเป็นยุติว่าตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้องเจ้าพนักงานตำรวจยึดได้เฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 จากจำเลยจำนวน 3 หลอดมีน้ำหนัก 2.54 กรัม
มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยได้กระทำผิดดังที่โจทก์ฟ้องหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของจ่าสิบตำรวจอดุลย์ ชาญประเสริฐเจ้าพนักงานตำรวจสายตรวจพิเศษประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรีว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 9 นาฬิกา ขณะที่จ่าสิบตำรวจอดุลย์กับพลตำรวจบรรเจิด พลศารทูร ออกตรวจท้องที่ไปถึงตลาดตำบลโพธิ์พระเยา พบนายสมชายขี่รถจักรยานผ่านมามีอาการพิรูธจึงเรียกตรวจค้น แต่ไม่พบสิ่งผิดกฎหมาย แต่จากการสอบถามนายสมชายได้ความว่านายสมชายเคยซื้อเฮโรอีนจากร้านเสริมสวยของจำเลยและสามารถซื้อเฮโรอีนได้ จ่าสิบตำรวจอดุลย์จึงนำนายสมชายไปพบร้อยตำรวจโทบุญเกื้อ ธันดา หัวหน้าสายตรวจพิเศษประจำกองกำกับการตำรวจภูธรจังหวัดสุพรรณบุรี กับได้ความจากร้อยตำรวจโทบุญเกื้อว่า เมื่อทราบเรื่องดังกล่าวแล้วจึงวางแผนจับกุมโดยนำธนบัตรฉบับละ 500 บาท และ 100 บาท อย่างละ 1 ฉบับ ไปลงบันทึกประจำวันไว้ แล้วจัดให้นายสมชายกับพลตำรวจประยุทธ โพธิ์หอม เป็นผู้ไปล่อซื้อ ส่วนร้อยตำรวจโทบุญเกื้อกับพวกซุ่มรออยู่ห่างร้านของจำเลยประมาณ 30 เมตร กับโจทก์มีพลตำรวจประยุทธมาเบิกความยืนยันว่า เมื่อเข้าไปที่ร้านของจำเลยพบมีหญิง 2 คน อยู่ในร้านคนหนึ่งนั่งดูทีวี ส่วนอีกคนหนึ่งนั่งอยู่เก้าอี้ทำผม นายสมชายเข้าไปพูดกับหญิงที่นั่งดูทีวีซึ่งก็คือจำเลยนี้ จำเลยนำห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ 1 ห่อ มอบให้แก่นายสมชาย นายสมชายมอบเงินทั้งหมดจำนวน 600 บาท ให้แก่จำเลย จำเลยทอนเงินให้นายสมชาย 50 บาทนายสมชายนำห่อกระดาษพร้อมเงินทอน 50 บาท มอบให้แก่พลตำรวจประยุทธพลตำรวจประยุทธเปิดห่อกระดาษดูเป็นหลอดพลาสติกสีขาว 1 หลอดยาวประมาณ 2 นิ้ว มีผงสีขาวบรรจุอยู่ประมาณสามในสี่ส่วนของหลอดจึงแจ้งทางวิทยุให้ร้อยตำรวจโทบุญเกื้อกับพวกเข้าจับกุม จำเลยนำร้อยตำรวจโทบุญเกื้อไปเอาเฮโรอีนที่เหลืออีก 2 หลอด ซึ่งจำเลยนำไปซุกซ่อนไว้ในถังน้ำพลาสติกสีดำ มีผ้าปิดไว้พร้อมกับมอบเงินจำนวน 600 บาท ที่นายสมชายนำไปล่อซื้อให้แก่ร้อยตำรวจโทบุญเกื้อด้วย เห็นว่า พยานโจทก์ทั้งสามเบิกความสอดคล้องเชื่อมโยงกันโดยตลอด แม้การเบิกความบางตอนจะแตกต่างกันบ้างก็เป็นเพียงพลความ มิใช่สาระสำคัญที่จะทำให้คำพยานโจทก์เหล่านั้นมีน้ำหนักน้อยลงถึงกับรับฟังไม่ได้ โดยเฉพาะพยานโจทก์ทั้งสามต่างเป็นข้าราชการตำรวจปฏิบัติราชการตามหน้าที่ ไม่รู้จักจำเลยมาก่อนไม่มีเหตุน่าระแวงสงสัยว่าจะเบิกความปรักปรำจำเลยให้ต้องรับโทษจำเลยเองก็รับอยู่ว่าในวันเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจยึดเฮโรอีนพร้อมเงินสดจำนวน 600 บาท ของกลางได้จากจำเลยจริงเพียงแต่บ่ายเบี่ยงว่าของกลางที่เจ้าพนักงานตำรวจยึดได้นั้นมีผู้นำมาฝากจำเลยไว้โดยจำเลยไม่ทราบว่าของที่นำมาฝากนั้นเป็นเฮโรอีนซึ่งผิดวิสัยที่คนทั่วไปจะรับของฝากไว้ โดยไม่รู้จักกับคนที่ฝากเลยเห็นว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมามีน้ำหนักมั่นคงฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยได้กระทำความผิดดังที่โจทก์ฟ้องพยานหลักฐานของจำเลยหักล้างพยานโจทก์ไม่ได้ ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้นแต่เห็นว่าจำเลยเป็นหญิงไม่ปรากฏว่าเคยต้องโทษถึงจำคุกมาก่อนเฮโรอีนของกลางมีน้ำหนักเพียง 2.54 กรัม ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำเลยกระทงละ 10 ปี หนักเกินไปยังไม่เหมาะสมตามพฤติการณ์แห่งรูปคดี ศาลฎีกาจึงแก้ไขให้เหมาะสม”
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายให้จำคุก 6 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน จำคุก 6 ปี รวมจำคุก 12 ปีลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย8 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์.