แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้วได้อยู่กินด้วยกันที่บ้านเลขที่611แสดงว่าบ้านเลขที่611ดังกล่าวเป็นบ้านที่โจทก์และจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัยกินอยู่หลับนอนฉันสามีภริยาซึ่งต่อมาก็มีบุตรด้วยกัน1คนแม้ในระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์ต้องเดินทางไปรับราชการในต่างจังหวัดและบางครั้งโจทก์และจำเลยได้ทะเลาะกันก็ตามโจทก์ก็ต้องกลับมากินอยู่หลับนอนฉันสามีภริยากับจำเลยเช่นปกติที่สามีภริยาพึงต้องปฏิบัติต่อกันแต่โจทก์กลับไปมีภริยาใหม่และไปอยู่กับภริยาใหม่ถือว่าโจทก์สมัครใจแยกกันอยู่กับจำเลยแต่ฝ่ายเดียวจำเลยไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์การที่โจทก์ได้ส่งเงินให้บุตรและจำเลยไม่ได้ไปมาหาสู่ร่วมอยู่กินหลับนอนกับโจทก์ฉันสามีภริยามิใช่พฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน3ปีอันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา1516(4/2)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นสามีภริยากันมีบุตร 1 คนได้อยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยาที่บ้านเลขที่ 611 ระหว่างอยู่กินด้วยกันดังกล่าวโจทก์กับจำเลยทะเลาะวิวาทกันเป็นประจำด้วยเรื่องหนี้สินที่จำเลยก่อขึ้น ในเดือนตุลาคม 2514 โจทก์และจำเลยจึงต่างสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุข โดยจำเลยขนย้ายสินส่วนตัวและสินสมรสออกไปจากบ้านและไม่กลับมาอีกเลยจนถึงปัจจุบันอันเป็นเวลานานถึง 22 ปีแล้ว โจทก์ขอให้จำเลยไปจดทะเบียนหย่าแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้พิพากษาให้โจทก์จำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นครู มีรายได้เพียงพอเลี้ยงชีพไม่เคยก่อหนี้สินและมิได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ ในปี 2514 โจทก์ย้ายไปรับราชการที่จังหวัดนครพนม จำเลยรับราชการอยู่ในกรุงเทพมหานคร จึงไม่สามารถติดตามไปได้ แต่ก็ไปมาหาสู่กันเป็นครั้งคราว ในปี 2519 จำเลยย้ายไปรับราชการที่โรงเรียนภ.ป.ร. ราชวิทยาลัย จังหวัดนครปฐม ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำต้องพักอาศัยที่โรงเรียน โจทก์ทราบดีและไม่คัดค้าน โจทก์นำเงินไปใช้จ่ายอุปการะเลี้ยงดูหญิงอื่นฉันภริยา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้น พิพากษายก ฟ้อง
โจทก์ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ ภาค 3 พิพากษายืน
โจทก์ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อโจทก์และจำเลยจดทะเบียนสมรสกันแล้ว ได้อยู่กินด้วยกันที่บ้านเลขที่ 611 ซอยแสงจันทร์ เขตสาธรกรุงเทพมหานคร แสดงว่าบ้านเลขที่ 611 ดังกล่าวเป็นบ้านที่โจทก์และจำเลยใช้เป็นที่อยู่อาศัยกินอยู่หลับนอนฉันสามีภริยา ซึ่งต่อมาก็มีบุตรด้วยกัน 1 คน แม้ในระหว่างอยู่กินด้วยกันโจทก์ต้องเดินทางไปรับราชการในต่างจังหวัดและบางครั้งโจทก์และจำเลยได้ทะเลาะกันก็ตามโจทก์ก็ต้องกลับมากินอยู่หลับนอนฉันสามีภริยากับจำเลยเช่นปกติที่สามีภริยาพึงต้องปฏิบัติต่อกัน แต่โจทก์กลับไปมีภริยาใหม่และไปอยู่กินภริยาใหม่จนเกิดบุตรกับภริยาใหม่ 1 คน เช่นนี้ ถือว่าโจทก์สมัครใจแยกกันอยู่กับจำเลยแต่ฝ่ายเดียว จำเลยหาได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์แต่อย่างใดไม่ ที่โจทก์อ้างว่าโจทก์ได้ส่งเงินให้บุตรและจำเลยไม่ได้ไปมาหาสู่ร่วมอยู่กินหลับนอนกับโจทก์ฉันสามีภริยาจึงถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์นั้นเป็นข้ออ้างที่มิใช่พฤติการณ์ที่แสดงว่าจำเลยสมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์ข้ออ้างตามฎีกาของโจทก์จึงไม่ถือว่าเป็นกรณีที่สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกิน 3 ปี อันเป็นเหตุหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(4/2)
พิพากษายืน