คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1503/2497

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์สืบพยานไปบ้างแล้วโจทก์จำเลยต่างแถลงรับเอกสารและข้อเท็จจริงบางอย่างแล้วต่างแถลงไม่สืบพยานต่อไปโดยไม่ปรากฏว่ามีคำท้ากันอย่างใด ดังนี้ต้องพิเคราะห์คดีไปตามพฤติการณ์เท่าที่โจทก์สืบมาแล้วประกอบกับคำรับทั้ง 2 ฝ่ายประกอบกัน
บุตรนอกกฎหมายเกิดแต่บิดาซึ่งแต่งงานกับมารดาโดยเปิดเผยแต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรสและอยู่กินด้วยกันจนตายจากกันไปสูติบัตรก็ปรากฏว่าเป็นสูติบัตรของเด็กซึ่งบิดาไปแจ้งไว้ พฤติการณ์เช่นนี้ฟังได้ว่าบิดาได้รับรองบุตรนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1627 แล้ว

ย่อยาว

ฟ้องว่า จำเลยเป็นภริยานายคำโดยมิได้จดทะเบียนสมรสตามกฎหมายและพี่น้องคนอื่นของนายคำชั้นเดียวกัน โจทก์ก็สละมรดกให้โจทก์ทั้งหมด เมื่อนายคำตายแล้วมีทรัพย์มรดกรวมราคา 7,500 บาทควรตกทอดแก่โจทก์ ผู้เป็นพี่ร่วมบิดามารดาเดียวกัน ซึ่งเป็นทายาทโดยธรรมอันดับ 3 ขอให้จำเลยส่งทรัพย์มรดกนี้แก่โจทก์

จำเลยต่อสู้ว่า เป็นภริยานายคำก่อนใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 เกิดบุตร 4 คน ตาย 3 เหลือ เด็กหญิงจันสม เป็นทายาทโดยธรรมอันดับ 1 ตัดโจทก์ซึ่งเป็นทายาทอันดับ 3 และต่อสู้อีกหลายประการ

ชั้นพิจารณา โจทก์รับนำสืบก่อนสืบพยานไปได้ 4 ปาก ทนายจำเลยแถลงว่าโจทก์จะยอมรับตามข้อความที่ปรากฏในสูติบัตรตอน 2 ที่จำเลยขออ้างมาจากทางราชการสาธารณสุขหรือไม่ ถ้ายอมรับได้ จำเลยก็ขอยอมรับข้อเท็จจริงตามประเด็นที่กล่าวอ้างทุก ๆ ประเด็นและจำเลยยอมรับด้วยว่าเด็กหญิงจันสมเป็นบุตรนอกสมรส ทนายโจทก์แถลงรับตามที่จำเลยเสนอทุกประการ คู่ความเป็นอันไม่ติดใจสืบพยานต่อไป

ศาลจังหวัดลำพูนเห็นว่า ตามคำรับของทนายโจทก์ ยอมรับเพียงว่านายคำผู้ตายได้เป็นผู้ไปแจ้งความต่อกำนัน เจ้าตำบลผู้เป็นเจ้าหน้าที่ในเรื่องสูติบัตรเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงรายละเอียดต่าง ๆ จะมีอยู่ เป็นอยู่อย่างไรโจทก์มิได้ยอมรับ ข้อเท็จจริงบางประการ จึงยังดูกำกวมอยู่ จำเลยจะหวังเอาผลในเรื่องนี้จากคำแถลงรับของทนายโจทก์ไม่ได้ จำเลยเป็นฝ่ายกล่าวอ้างถึงเด็กหญิงจันสม ก็ชอบที่จะนำสืบให้สมจริง เมื่อไม่สืบคดีก็ขาดบกพร่อง โดยเฉพาะส่วนตัวจำเลย หามีสิทธิอันใดที่จะหน่วงเหนี่ยวครอบครองทรัพย์มรดกไม่ พิพากษาให้จำเลยส่งทรัพย์มรดก แต่ทั้งนี้ไม่ตัดสิทธิเด็กหญิงจันสมในอันที่จะร้องขอคำสั่งศาลแต่ประการใดและศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาเห็นว่า ทนายจำเลยไม่ได้ท้าว่าให้ตัดสินชี้ขาดไปโดยเหตุหนึ่งเหตุใดโดยเฉพาะ เป็นแต่เมื่อโจทก์สืบพยานไป 4 ปากแล้ว ทนายโจทก์ยอมรับข้อความที่นายคำ (ผู้ตาย) ไปแจ้งกำนันตามที่ปรากฏอยู่ในสูติบัตรตอน 2 แล้วจำเลยยอมรับข้อเท็จจริงตามประเด็นที่กล่าวอ้างและยอมรับด้วยว่าเด็กหญิงจันสมเป็นบุตรนอกสมรส แล้วคู่ความต่างไม่สืบพยาน ทั้งนี้ควรพิเคราะห์วินิจฉัยคดีไปตามพฤติการณ์เท่าที่โจทก์สืบมาแล้ว ประกอบกับคำรับทั้ง 2 ฝ่ายประกอบกัน

สูติบัตรมีข้อความสำคัญว่า นายคำ ได้แจ้งว่านามสกุล ก๋องทองเพศหญิง เป็นบุตรคนที่ 4 เกิดกับนายคำนางเปงซึ่งอยู่กินกันนาน 10 ปีแล้ว บุตรนายคำคนนี้ จะใช่เด็กหญิงจันสมหรือไม่นั้น เมื่อโจทก์เองก็รับว่าที่นายคำยังมีบุตรกับจำเลยที่เหลืออยู่คือคนที่จำเลยอุ้มอยู่ อายุ 2 ปีฟังได้ว่าบุตรที่นายดำไปแจ้งตามสูติบัตรนั้น คือเด็กหญิงจันสม บุตรที่จำเลยกล่าวอ้างในคำให้การนั้นเองแม้จำเลยจะยอมจำนนว่าเป็นภริยานายคำหลังใช้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 และไม่ได้จดทะเบียนสมรส เด็กหญิงจันสมเป็นบุตรนอกกฎหมายของนายคำ แต่ปรากฏตามคำพยานโจทก์ว่า นายคำทำพิธีแต่งงานกับจำเลยโดยเปิดเผยอยู่กินช้านานหลายปีจนนายคำตายจากไป เกิดบุตรก็ไปแจ้งสูติบัตรตามระเบียบ ย่อมเห็นความประสงค์ของนายคำได้ชัดเจนว่าปรารถนาจะให้ทรัพย์มรดกของตนแก่ลูกอ่อนยิ่งกว่าจะให้โจทก์ผู้เป็นพี่และตามพฤติการณ์เช่นนี้ควรฟังได้ว่านายคำได้รับรองเด็กหญิงจันสมบุตรนอกกฎหมายของตนตามมาตรา 1627 แล้วอันนับเนื่องอยู่ในประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่าเด็กหญิงจันสมเป็นทายาทอันดับ 1 ตัดโจทก์ออกนอกกองมรดก

พิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์

Share