คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 15028/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ยกบ้านพิพาทให้จำเลยในระหว่างสมรส เป็นนิติกรรมสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน ซึ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469 บัญญัติให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ตามทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าโจทก์บอกล้างการให้เมื่อใด แต่เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องหย่าและขอให้เพิกถอนการให้บ้านพิพาท ให้จำเลยคืนบ้านพิพาทแก่โจทก์ ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาบอกล้างในขณะที่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ สัญญาจึงไม่มีผลบังคับอีกต่อไป โจทก์มีสิทธิเรียกคืนบ้านพิพาทจากจำเลยได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าข้อเท็จจริงจะฟังได้หรือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้เพิกถอนคืนการให้บ้านเลขที่ 263 หมู่ที่ 3 ตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย และทรัพย์สินทั้งหมดโอนคืนให้แก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย ให้โจทก์มีสิทธิอยู่อาศัยในบ้านดังกล่าวได้ตลอดชีวิต เมื่อโจทก์ถึงแก่ความตายขอทำพินัยกรรมยกให้แก่โรงเรียนสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง และฟ้องแย้งขอให้โจทก์และจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน ให้แบ่งสินสมรสบ้านเลขที่ 263 หมู่ที่ 3 ตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย ให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งกันคนละครึ่ง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์กับจำเลยหย่าขาดจากการเป็นสามีภริยากัน และเพิกถอนคืนการให้บ้านเลขที่ 263 หมู่ที่ 3 ตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย ให้จำเลยโอนคืนแก่โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี 3,000 บาท และค่าทนายความ 5,000 บาท ฟ้องแย้งของจำเลยให้ยก ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัว พิพากษาแก้เป็นว่า ให้แบ่งบ้านเลขที่ 263 หมู่ที่ 3 ตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย ให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง หากแบ่งไม่ได้ให้นำออกขายทอดตลาดแล้วนำเงินมาแบ่งให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ส่วนที่เสียเกินมาจำนวน 4,000 บาท ให้แก่จำเลย ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้ 4,000 บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาโดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นชาวเยอรมัน โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2552 และอยู่อาศัยด้วยกันที่บ้านเลขที่ 263 หมู่ที่ 3 ตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย ซึ่งปลูกสร้างบนที่ดินของพี่สาวจำเลย และมีชื่อจำเลยเป็นเจ้าบ้าน คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า บ้านพิพาทเลขที่ 263 หมู่ที่ 3 ตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ที่ยกให้จำเลยหรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า บ้านพิพาทเป็นของโจทก์ที่ยกให้จำเลย มิใช่เป็นสินสมรสดังที่จำเลยกล่าวอ้าง เห็นว่า ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์และจำเลยว่า โจทก์ตกลงปลูกบ้านพิพาทเพื่อใช้เป็นที่อยู่อาศัยของโจทก์กับจำเลยในประเทศไทย โจทก์เป็นฝ่ายออกเงินค่าก่อสร้างบ้านทั้งหมดและบ้านสร้างเสร็จก่อนที่โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนสมรสกัน ดังนี้ บ้านพิพาทจึงเป็นทรัพย์สินของโจทก์และเป็นทรัพย์สินที่โจทก์มีอยู่ก่อนสมรส บ้านพิพาทจึงมิใช่สินสมรส แต่เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ที่ยกให้จำเลย เมื่อจำเลยรับยกให้แล้วบ้านพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลย
มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิเรียกคืนบ้านพิพาทจากจำเลยหรือไม่ ได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์ยกบ้านพิพาทให้จำเลยในระหว่างสมรส ดังนี้ นิติกรรมการให้จึงเป็นสัญญาที่เกี่ยวกับทรัพย์สินที่โจทก์จำเลยทำไว้ต่อกันในระหว่างเป็นสามีภริยากัน ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 บัญญัติให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันอยู่หรือภายในกำหนดหนึ่งปี นับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ตามทางนำสืบโจทก์ไม่ปรากฏแน่ชัดว่าโจทก์บอกล้างการให้เมื่อใด แต่เมื่อโจทก์ยื่นฟ้องหย่าและขอให้เพิกถอนการให้บ้านพิพาท ให้จำเลยคืนบ้านพิพาทแก่โจทก์ ก็ถือได้ว่าเป็นการแสดงเจตนาบอกล้างในขณะที่ยังเป็นสามีภริยากันอยู่ สัญญาจึงไม่มีผลบังคับอีกต่อไป โจทก์มีสิทธิเรียกคืนบ้านพิพาทจากจำเลยได้โดยไม่จำต้องคำนึงว่าข้อเท็จจริงจะฟังได้หรือไม่ได้ว่าจำเลยประพฤติเนรคุณโจทก์หรือไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยคืนบ้านเลขที่ 263 หมู่ที่ 3 ตำบลสระใคร อำเภอสระใคร จังหวัดหนองคาย ให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาในส่วนฟ้องเดิมและฟ้องแย้งให้เป็นพับ

Share