คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1501/2516

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 พ้นตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์ไปแล้ว แต่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ก็ยังมีชื่อเป็นผู้มีอำนาจถอนเงินของวัดโจทก์จากธนาคารอยู่ โดยยังไม่มีผู้ใดเพิกถอนอำนาจของจำเลยในการถอนเงินและแจ้งไปให้ธนาคารทราบ เมื่อจำเลยทั้งสองร่วมกันถอนเงินของโจทก์จากธนาคาร โดยจำเลยมิได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารทราบว่าจำเลยที่ 1 พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวแล้ว ก็ยังไม่เป็นการหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของธนาคาร เพราะเมื่ออำนาจการถอนเงินซึ่งจำเลยมีมาแต่เดิมยังไม่ถูกเพิกถอน การที่จำเลยไปถอนเงิน จึงเป็นการถอนเงินตามที่วัดโจทก์ตกลงไว้กับธนาคาร และการที่จำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบเรื่องการถอนเงินนี้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและเพิ่มเติมฟ้องว่า โจทก์มีเงินฝากในธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสงขลา เงินดังกล่าวโจทก์มอบหมายให้กรรมการวัดอันประกอบด้วยเจ้าอาวาสวัดบ่อสระและกรรมการอื่นอีก 4 คน มอบฝากไว้กับธนาคาร ในการถอนเงินเจ้าอาวาสร่วมกับกรรมการอีกหนึ่งคนเป็นอย่างน้อยมีอำนาจลงนามถอนเงินได้ จำเลยที่ 1 เคยรักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ่อสระระหว่างวันที่ 2 เมษายน 2513 ถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2513 จำเลยที่ 2 เป็นกรรมการวัดด้วยผู้หนึ่ง เมื่อวันที่ 24 กันยายน 2513 วันที่ 18 มกราคม 2514 และวันที่ 30 มีนาคม 2514 จำเลยทั้งสองได้ใช้อุบายเบิกถอนเงินสดของโจทก์จากธนาคารดังกล่าวจำนวน 3,000 บาท 2,500 บาท และ 1,000 บาทตามลำดับ โดยใช้อุบายหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของธนาคาร โดยสมคบกันแสดงข้อความอันเป็นเท็จว่าจำเลยที่ 1 ยังรักษาการแทนเจ้าอาวาสอยู่ และปกปิดความจริงอันควรบอกให้แจ้งว่าจำเลยที่ 1 พ้นตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ่อสระไปแล้วและโดยการหลอกลวงดังว่านั้น ได้ไปซึ่งทรัพย์สินคือเงินสดจำนวนดังกล่าวทั้ง 3 ครั้งจากเจ้าหน้าที่ธนาคารและผู้จัดการธนาคารดังกล่าวจำนวนทั้งสิ้นรวม 6,500 บาท ในการถอนเงินดังกล่าวจำเลยทั้งสองปกปิดความจริงอันควรแจ้งให้โจทก์ทราบ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 342, 83

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่ใช่เป็นผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีโจทก์ไม่มีมูลความผิดทางอาญา พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริง ทางไต่สวนมูลฟ้องว่า ก่อนพระภิกษุทิมชินะวังโส ได้รับแต่งตั้งเป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดบ่อสระโจทก์จำเลยที่ 1 เป็นผู้รักษาการแทน จำเลยที่ 1 พ้นตำแหน่งรักษาการแทนเจ้าอาวาสเมื่อเดือนมิถุนายน 2513 เมื่อพ้นตำแหน่งแล้ว จำเลยที่ 1กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นกรรมการวัดได้เบิกเงินของโจทก์ไปจากธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสงขลา 3 คราว เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 6,500 บาท โดยมิได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารทราบว่าจำเลยที่ 1 พ้นตำแหน่งดังกล่าว และมิได้บอกให้พระภิกษุทิมทราบ วินิจฉัยว่าการที่จำเลยที่ 1 พ้นตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์ไปแล้วแต่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็ยังคงมีชื่อเป็นผู้มีอำนาจถอนเงินของวัดโจทก์จากธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสงขลา อยู่ โดยยังไม่มีผู้ใดเพิกถอนอำนาจในการถอนเงินของจำเลยและแจ้งไปให้ธนาคารทราบ แล้วจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันถอนเงินของโจทก์จากธนาคารดังกล่าวไปโดยจำเลยมิได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของธนาคารทราบว่า จำเลยที่ 1 พ้นจากตำแหน่งผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดโจทก์แล้ว และมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบเรื่องการเบิกถอนเงินนั้น การกระทำของจำเลยเช่นนี้ยังไม่เป็นการหลอกลวงเจ้าหน้าที่ของธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสงขลา เพราะเมื่ออำนาจการถอนเงินซึ่งจำเลยมีมาแต่เดิมนั้นยังไม่ได้ถูกเพิกถอน การที่จำเลยไปถอนเงิน จึงเป็นการถอนเงินตามที่วัดโจทก์ตกลงไว้กับธนาคาร และการที่จำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบเรื่องการถอนเงินนี้ ก็ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง

พิพากษายืน

Share