แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อจำเลยให้การรับว่าสัญญากู้ท้ายฟ้องเป็นเอกสารที่จำเลยทำให้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ไว้ โจทก์จึงไม่มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งอ้างเอกสารสัญญากู้นั้นเป็นพยานหลักฐาน แม้สัญญากู้ที่โจทก์อ้างนั้นจะมิได้ปิดอากรแสตมป์ ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริง จึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ที่ห้ามมิให้รับฟังตราสารที่ไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่ง จำเลยอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ก็ต้องมีภาระการพิสูจน์ เมื่อจำเลยไม่อาจพิสูจน์ให้ศาลเชื่อฟังได้ตามข้ออ้าง ศาลย่อมฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้ไปแล้วไม่ใช้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยยืมเงินจากนายชัยวุฒิผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ จำนวน 20,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ถึงกำหนดแล้วไม่ยอมชำระ โจทก์ทวงถามจำเลยก็เพิกเฉย ขอบังคับให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้เงินนายชัยวุฒิ จำเลยทำสัญญากู้ตามท้ายฟ้องให้ไว้แก่นายชัยวุฒิ แต่ยังไม่ได้รับเงินเพราะยังไม่สามารถตกลงกันเรื่องอัตราดอกเบี้ย สัญญากู้ไม่มีการปิดอากรแสตมป์ให้ถูกต้องตามกฎหมาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยได้รับเงินกู้ตามสัญญากู้แล้วแต่ยังไม่ชำระหนี้ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 20,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาเฉพาะข้อกฎหมายว่า การที่ศาลอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยประเด็นข้อต่อสู้ของจำเลยว่า สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องมิได้ปิดอากรแสตมป์ให้ครบถ้วนไม่อาจใช้เป็นพยานหลักฐานต่อศาลตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 แต่อย่างใดแล้วพิพากษาให้จำเลยแพ้คดีนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า ในเรื่องการกู้เงินประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่าห้าสิบบาทขึ้นไปนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ ท่านว่าจะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่…” ในคดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยโดยอาศัยสำเนาสัญญากู้ยืมเงินตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข 2 เมื่อจำเลยให้การรับอยู่ว่า เอกสารท้ายฟ้องโจทก์หมายเลข 2 เป็นเอกสารที่จำเลยทำให้ไว้กับผู้ตายซึ่งเป็นสามีโจทก์ โจทก์จึงไม่มีภาระจะต้องพิสูจน์และส่งอ้างเอกสารสัญญากู้ตามเอกสารท้ายฟ้องดังกล่าวเป็นพยานหลักฐาน สัญญากู้ซึ่งโจทก์อ้างแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังได้ตามคำรับของจำเลยว่ามีการกู้กันจริง จึงไม่มีกรณีต้องห้ามตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ซึ่งบัญญัติว่า “ตราสารใดไม่ปิดแสตมป์บริบูรณ์จะใช้ต้นฉบับ คู่ฉบับ คู่ฉีก หรือสำเนาเอกสารนั้นเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้จนกว่าจะได้เสียอากรโดยปิดแสตมป์ครบจำนวนตามอัตราในบัญชีท้ายหมวดนี้และขีดฆ่าแล้ว…”จำเลยซึ่งอ้างว่าการกู้เงินยังไม่บริบูรณ์เพราะจำเลยยังมิได้รับเงินกู้ก็ต้องมีภาระการพิสูจน์ เมื่อจำเลยไม่อาจพิสูจน์ให้ศาลเชื่อฟังได้ดังกล่าวและศาลฟังข้อเท็จจริงได้ว่าจำเลยได้รับเงินตามสัญญากู้ไปแล้วไม่ใช้ จำเลยก็ต้องแพ้คดี ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาให้จำเลยชำระเงินต้นพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้องให้โจทก์ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน