แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่เจ้าของที่ดินยอมให้โจทก์และประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาทสัญจรไปมาเป็นเวลาช้านานหลายสิบปีเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้ว
ทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยปิดกั้น โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกไม่ได้ โจทก์ที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ย่อมได้รับความเสียหาย
เมื่อจำเลยที่ 6 ทำรั้วปิดกั้นทางพิพาทซึ่งเป็นทางสาธารณะเป็นเหตุให้โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ 2 ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ 2 การที่โจทก์ที่ 2 รื้อรั้วที่จำเลยที่ 6 ปิดกั้นออก เพื่อจะได้ใช้ทางพิพาทต่อไป จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันความเสียหายโดยชอบด้วยกฎหมายแม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ 6 โจทก์ที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน
ย่อยาว
คดีสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นสั่งพิจารณารวมกัน
สำนวนแรกเดิมโจทก์ฟ้องเฉพาะจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ต่อมาโจทก์ขอให้เรียกนายบุญสม วงษ์วรรณรัตน์ นางมณฑา วงษ์วรรณวัฒน์ และนายสุวัฒน์ เครือคล้าย เข้ามาเป็นจำเลยร่วมด้วย ศาลชั้นต้นอนุญาตและให้เรียกเป็นจำเลยที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ตามลำดับ และเรียกนางอัญชลี จันทวรางกูร จำเลยในสำนวนหลังว่าจำเลยที่ ๖
โจทก์ฟ้องและแก้ไขฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๔๙๖๖, ๖๔๙๖๕ ตามลำดับ โจทก์ที่ ๓ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๔๙๙ และ ๓๙๖๐๑ โจทก์ที่ ๔ เป็นเจ้าของที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๑๖๒ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐, ๗๖๐๔๑, ๘๓๑๐๓ จำเลยที่ ๖ ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๒, ๗๖๐๔๓, ๗๖๐๔๔, ๗๖๐๔๕, ๗๖๐๔๖, ๗๖๐๔๗ และ ๗๖๐๔๘ จากนางประเทือง ที่ดินของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๖ ตามโฉนดเลขที่ดังกล่าวและที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ กับโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๑, ๘๓๑๐๒ มีอาณาเขตติดต่อกันที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ มีความยาวผ่านหน้าที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ไปสู่ถนนสาธารณประโยชน์ที่ดินของโจทก์จำเลยทุกแปลงเดินรวมอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๑๖๒ มีนายหะยีสะฮัก เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ เมื่อประมาณ ๖๐ – ๗๐ ปีมาแล้ว นายหะยีสะฮัก ได้อุทิศที่ดินถนนกลางของโฉลดดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะสำหรับประชาชนใช้เป็นทางเดินเข้าออก ต่อมาทายาทของนายหะยีสะฮักได้บูรณะปรับปรุงทางเดินให้กว้างขึ้นโดยขุดดินทำเป็นถนนกว้าง ๔ เมตร ยาวตลอดแนวโฉนดที่ดินเลขที่ ๑๗๑๖๒ และได้แบ่งที่ดินดังกล่าวออกเป็น ๘ แปลง การแบ่งครั้งนี้ที่ดินส่วนที่เป็นถนนสาธารณะรวมอยู่ในโฉนดเลขที่ ๓๙๕๙๗ และที่ดินโฉนดอื่นอีกหลายแปลง สำหรับที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๕๙๗ นั้น ภายหลังทายาทของนายหะยีสะฮักได้ขายให้นางประเทืองไป ต่อมานางประเทืองได้ขยายถนนที่ทายาทของนายหะยีสะฮักอุทิศให้เป็นทางสาธารณะออกไปอีก ๒ เมตร ตลอดแนวถนนเดิม และนางประเทืองได้แบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๓๙๕๙๗ ออกเป็นหลายแปลง ที่ดินเฉพาะส่วนที่เป็นถนนสาธารณะได้แบ่งแยกออกเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ กับบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๑, ๘๓๑๐๒ ซึ่งนางประเทืองก็ยินยอมให้ประชาชนใช้เป็นถนนสาธารณะตามแนวที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ และบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๑ และ ๘๓๑๐๒ เป็นทางเข้าออกโดยมิได้แสดงเจตนาหวงกันแต่อย่างใด ต่อมาจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ และ ที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๑, ๘๓๑๐๒ และจำเลยที่ ๖ ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๒ ถึงเลขที่ ๗๖๐๔๘ รวม ๗ แปลง จากนางประเทือง เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๒๐ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ร่วมกันกระทำละเมิดต่อโจทก์โดยใช้สิทธิไม่สุจริตตอกเสา ทำเครื่องกีดขวาง ตลอดความกว้างของที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ ด้านที่ติดกับถนนสุขาภิบาล ๒ และเมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๖ ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่โดยใช้สิทธิไม่สุจริตตอกเสาทำเครื่องกีดขวางยาวตลอดความกว้างของที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ และบางส่วนของที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๒ ถึง ๗๖๐๔๘ พร้อมทั้งนำรถแทรกเตอร์ มาขุดดินบริเวณที่เป็นถนนสาธารณะออก ตลอดจนทำรั้วยาวตลอดแนวที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสี่และประชาชนทั่วไปไม่สามารถใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกได้ ทำให้โจทก์ทั้งสี่ได้รับความเสียหาย ติดค่าเสียหายวันละ ๑๐๐ บาท ต่อมาจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐, ๗๖๐๕๑, ๘๓๑๐๒ ให้แก่จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ แล้วจำเลยที่ ๓ ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๑ และ ๘๓๑๐๒ ให้แก่จำเลยที่ ๕ ขอให้จำเลยทั้งสองสำนวนร่วมกันรื้อถอนไม้และเครื่องกีดขวางถนนในที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๐ ด้านติดถนนสุขาภิบาล ๒ ให้จำเลยที่ ๖ ซ่อมแซมถนนสาธารณะให้มีสภาพเหมือนเดิม และให้ขนย้ายอิฐ หิน ทราย และไม้ที่กองอยู่ในถนนสาธารณะออกไป กับให้รื้อถอนรั้วที่ปิดกั้นหน้าดินโฉนดเลขที่ ๖๔๙๖๖, ๖๔๙๖๕, ๓๔๕๙๙, ๓๙๖๐๑, ๑๗๑๖๒ ออกไปจากที่ดิน โฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ หากจำเลยทั้งสองสำนวนไม่ยอมให้โจทก์ทั้งสองสำนวนมีอำนาจกระทำได้โดยคิดค่าใช้จ่ายเอาจากจำเลยทั้งสองสำนวน ห้ามจำเลยทั้งสองสำนวนเข้าเกี่ยวข้องกับที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๘ ให้จำเลยในสำนวนแรกและจำเลยที่ ๖ ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ทั้งสี่
จำเลยในสำนวนแรกให้การทำนองเดียวกันว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ และโฉนดอื่น ๆ จากนางประเทือง ไม่เคยประกาศว่าปิดทางสาธารณะเพราะที่ดินที่ซื้อมาจากนางประเทืองไม่มีทางสาธารณะผ่านที่ดินที่ดินมีสภาพเป็นทุ่งนาไม่มีเส้นทางที่แน่นอน ฤดูแล้งผู้ที่สัญจรไปมาเดินบนพื้นนาบ้าง ถ้าเป็นฤดูฝนก็เดินบนคันนาที่เจ้าของยินยอมให้เดิน ส่วนที่เป็นทางสาธารณะประโยชน์แท้จริงคือ ลำคลองบางเตยซึ่งอยู่ติดกับที่ดินของโจทก์ทั้งสี่ เมื่อนางประเทืองซื้อที่ดินจากเจ้าของเดิมก็เริ่มลงมือขุดดินถนดินล้อมรั้วไม้ปิดกั้นที่ดินพิพาท โดยปักเลาไม้เป็นแนวตามเขตที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ และเตรียมขึงลวดหนามแต่ถูกคนร้ายทำลายลักไป ๒ ครั้ง และนางประเทืองยังถูกกลั่นแกล้งต้องขายที่ดินให้จำเลยที่ ๑ และ ที่ ๒ ต่อมาเมื่อวันที่ ๒ มกราคม ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ได้โอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ ให้จำเลยที่ ๓ และที่ ๔ และโอนที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๑ และ ๘๓๑๐๒ ให้จำเลยที่ ๕ ที่ดินพิพาทไม่ได้เป็นทางสาธารณะเพราะมีสภาพเป็นทางชั่วคราว จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะปิดกั้นในที่ดินได้ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ทั้งสี่ ส่วนอิฐ หิน ปูน ทราย กองอยู่ในที่ดินของบุคคลอื่น โจทก์ทั้งสี่เดินผ่านที่ดินไม่ถึง ๑๐ ปี และไม่ใช่ทางจำเป็นที่โจทก์จะใช้สิทธิเดินผ่าน โจทก์ทั้งสี่ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
จำเลย ที่ ๖ ให้การและเพิ่มเติมคำให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ ๖ ได้ซื้อที่ดินจากนางประเทืองรวม ๘ แปลง โดยรวมที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๔๙ เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ รวมอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๗๑๖๒ ของนายนายหะยีสะฮัก นายหะยีสะฮัก ไม่เคยอุทิศส่วนใดให้เป็นทางสาธารณะ นางประเทืองและทายาทของนายหะยีสะฮักไม่เคยอุทิศที่ดินให้เป็นทางสาธารณะหรือบูรณะเพิ่มเติม ที่ดินแปลงดังกล่าวนางประเทืองทำเป็นทางเดินสู่ที่ดินของตนซึ่งอยู่ติดกับคลองแสนแสบและได้จดทะเบียนภาระจำยอมให้แก่ที่ดินของจำเลยที่ ๖ ได้สงวนสิทธิและหวงกันตลอดมา จำเลยได้ปิดกั้น และนำรถแทรกเตอร์มาขุดภายในแนวเขตและภายในที่ดินของจำเลยที่ ๖ ความเสียหายคงมีแต่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ที่มีรถยนต์ใช้เท่านั้น และฝ่ายโจทก์ได้รื้อถอนทำลายสิ่งกีดกั้นที่จำเลยทำขึ้น โจทก์จึงไม่ได้รับความเสียหาย ทางพิพาทไม่ใช่ทางสาธารณะและมิใช่ทางจำเป็นอันจะก่อให้เกิดภาระจำยอมแก่ที่ดินของโจทก์หรือที่ดินโฉนดเลขที่ ๗๖๐๕๐ ทางพิพาทไม่ใช่ทาง+++++++++++++++++++++++++ ให้แก่จำเลยที่ ๖ เป็นเงิน ๒,๐๐๐ บาท ฟ้องแย้งนอกนี้ให้ยก
โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ทางพิพาทตามแผนที่พิพาทตามเส้นสีชมพูเป็นทางสาธารณะ ให้จำเลยทั้งหกรื้อถอนเครื่องกีดขวางทางพิพาททั้งหมดด้วย ทุนทรัพย์และค่าใช้จ่ายของจำเลยทั้งหก หากจำเลยไม่ยอมทำให้โจทก์ทั้งสี่มีอำนาจกระทำได้โดยคิดค่าใช้จ่ายจากจำเลยทั้งหก ห้ามจำเลยทั้งหกเกี่ยวข้องกับทางพิพาทต่อไป ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ และที่ ๔ ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ คนละ ๑,๐๐๐ บาทให้จำเลยที่ ๖ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และที่ ๔ คนละ ๑,๗๐๐ บาท ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๖
จำเลยทั้งหกฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทางพิพาทเป็นทางที่นายหะยีสะฮักเจ้าของที่ดินทำขึ้นเพื่อให้ประชาชนใช้เดินเข้าออกตลาดบางเตยของนายหะยีสะฮัก นายฮับฮีบุตรชายนายหะยีสะฮักได้ขุดดินในที่นามาประกอบให้ทางเดินใหญ่ขึ้น โดยทำฐานล่างกว้าง ๓ วา ข้างบนกว้าง ๒ วา ตั้งแต่ถนนสุขาภิบาล ๒ ที่ทางราชการทำขึ้นไปจนถึงตลาดบางเตย เพื่อให้ประชาชนเข้าออกได้สะดวกและได้บอกนายสมานผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ ๒ ในสมัยนั้นว่าต้องการให้คนทั่วไปใช้เดินได้เป็นทางสาธารณะ มีประชาชนผ่านทางพิพาทเข้าตลาดบางเตยวันละไม่ต่ำกว่า ๗๐-๘๐ คน และไม่เฉพาะประชาชนในหมู่ที่ ๒ เท่านั้นที่ใช้ทางพิพาท ประชาชนหมู่อื่นก็ใช้ทางนี้ด้วย การที่เจ้าของที่ดินยอมให้โจทก์และประชาชนทั่วไปใช้ทางพิพาทสัญจรไปมาเป็นเวลาช้านานหลายสิบปีเช่นนี้ ย่อมถือได้ว่าเจ้าของที่ดินได้อุทิศที่ดินดังกล่าวให้เป็นทางสาธารณะโดยปริยายแล้วเมื่อทางพิพาทเป็นทางสาธารณะ จำเลยปิดกั้น โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ใช้รถยนต์ผ่านเข้าออกไม่ได้ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๔ ย่อมได้รับความเสียหาย จำเลยจึงต้องใช้ค่าเสียหายนับแต่วันปิดกันจนถึงวันที่ศาลสั่งให้เปิดทางพิพาท ส่วนที่จำเลยที่ ๖ ทำรั้วปิดกั้นทางพิพาท ซึ่งเป็นทางสาธารณะ เป็นเหตุให้โจทก์ที่ ๒ ใช้ทางพิพาทเข้าออกบ้านของโจทก์ที่ ๒ ไม่ได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ที่ ๒ การที่โจทก์ที่ ๒ รื้อรั้วที่จำเลยที่ ๖ ปิดกั้นออก เพื่อจะได้ใช้ทางพิพาทต่อไป จึงเป็นการกระทำเพื่อป้องกันความเสียหายโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้จะก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลยที่ ๖ โจทก์ที่ ๒ ก็ไม่ต้องรับผิดใช้ค่าสินไหมทดแทน
พิพากษายืน