คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 731/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

กฎและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานที่ให้จำเลยจ่ายบำเหน็จและเป็นผู้ออกภาษีเงินได้ส่วนบุคคลให้นั้นระบุไว้ชัดเจนว่าสำหรับพนักงานประจำที่มิใช่ฝ่ายจัดการ โจทก์เป็นพนักงานฝ่ายจัดการจะนำข้อบังคับนี้มาใช้ไม่ได้จึงไม่อาจอ้างสิทธิว่าจำเลยจะต้องออกภาษีเงินได้ให้จากข้อบังคับนี้
เงินสมทบกองทุนเงินสะสมเป็นข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง กฎหมายแรงงานมิได้บังคับให้ปฏิบัติ โจทก์จำเลยมีสิทธิตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้ หาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ เมื่อโจทก์ทำบันทึกขณะลาออกจากงานว่านอกจากเงินตอบแทนที่จำเลยให้โจทก์แล้วโจทก์จะไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดจากจำเลยอีก โจทก์จึงต้องผูกพันตามเอกสารนั้น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๐๒ ทำงานในแผนกช่าง จำเลยกำหนดเงื่อนไขสำหรับการจ่ายบำเหน็จกรณีพนักงานทำงานมาครบ ๑๐ ปีขึ้นไป และถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด จำเลยจะจ่ายบำเหน็จให้เท่ากับอัตราค่าจ้างสุดท้ายคูณด้วยจำนวนปีบริบูรณ์ที่ได้ทำงานมากับบริษัทและจำเลยเป็นผู้ออกภาษีเงินได้ส่วนบุคคลให้ นอกจากนี้จำเลยได้ตั้งกองทุนเงินสะสม โดยรับพนักงานลูกจ้างของบริษัทจำเลยรวมทั้งโจทก์เข้าเป็นสมาชิกเก็บเงินจากสมาชิกร้อยละ ๑๐ ของเงินเดือนทุกเดือนเป็นเงินสะสมและจำเลยจะจ่ายผลประโยชน์คืนให้แก่สมาชิกและครอบครัวเมื่อตาย ครบเกษียณ ทุพพลภาพ หรือลาออกจากบริษัท
โจทก์ทำงานกับจำเลยครั้งสุดท้ายดำรงตำแหน่งเป็นวิศวกรบำรุงรักษาโรงงานผลิตผงซักฟอก ค่าจ้างเดือนละ ๔๙,๔๑๗ บาท ค่าน้ำมันรถเดือนละ ๑,๗๕๐ บาท จำเลยให้โจทก์หยุดพักผ่อนประจำปี ปีละ ๑ เดือน โจทก์เป็นสมาชิกกองทุนเงินสะสมดังกล่าวเลขที่ ๗๗๘๕ โจทก์จ่ายเงินเข้ากองทุนเงินสะสมตั้งแต่เข้าเป็นสมาชิกเท่ากับร้อยละ ๑๐ ของเงินเดือน โดยนำเข้าบัญชีเอและจำเลยจะต้องนำเงินเท่ากับจำนวนเงินที่โจทก์จ่ายแต่ละเดือนอีกจำนวนหนึ่งเข้ากองทุนเงินสะสมในบัญชีบี (เงินสมทบ) เพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ตามเงื่อนไข ต่อมาประมาณกลางปี ๒๕๒๔ จำเลยจ่ายเงินกองทุนสะสมในส่วนยอดเงินสะสมในบัญชีเอคืนให้แก่โจทก์และสมาชิก ส่วนเงินสมทบของกองทุนเงินสะสม (บัญชีบี) จำเลยยังมิได้จ่ายให้ แต่จำเลยคงนำเงินเข้าสมทบในบัญชีดังกล่าวต่อไป จำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบว่าโจทก์มีสิทธิได้รับเงินสมทบเมื่อวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๕ เป็นเงิน ๙๖๘,๙๙๙ บาท ๔๗ สตางค์ ส่วนยอดเงินสมทบใน พ.ศ. ๒๕๒๖ และเดือนมกราคม ๒๕๒๗ จำเลยมิได้แจ้งให้โจทก์ทราบ โจทก์คำนวณแล้วเป็นเงินสมทบที่โจทก์มีสิทธิได้เมื่อออกจากงานเป็นเงิน ๑,๒๑๙,๐๔๘ บาท ๖๐ สตางค์
เมื่อเดือนมกราคม ๒๕๒๗ จำเลยบังคับให้โจทก์ยื่นใบลาออกจากงาน โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด จำเลยขู่บังคับว่าหากโจทก์ไม่ลาออกเองจำเลยจะไล่ออก โจทก์เกรงว่าหากให้จำเลยไล่ออกจะเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของโจทก์ต่อการหางานใหม่จึงยอมตามที่จำเลยเสนอ โจทก์เป็นพนักงานทำงานมาครบ ๑๐ ปีขึ้นไปถูกเลิกจ้างโดยไม่มีความผิด โจทก์มีสิทธิได้รับบำเหน็จเพิ่มจากค่าชดเชยซึ่งระบุไว้ในกฎและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและจำเลยต้องออกภาษีเงินได้ส่วนบุคคลให้ แต่จำเลยไม่ยอมจ่ายเงินภาษีดังกล่าวแทนโจทก์จำนวน ๙๙๖,๓๑๐ บาท และจำเลยไม่จ่ายเงินชดเชยวันหยุดพักผ่อนประจำปีย้อนหลังของปี ๒๕๒๖ อันเป็นปีสุดท้ายแห่งการทำงาน ซึ่งโจทก์ไม่ได้หยุดพักผ่อนประจำปีเลย โจทก์มีสิทธิได้รับเงินชดเชยวันหยุดพักผ่อนประจำปีจากจำเลยเป็นเงิน ๕๑,๑๖๗ บาท นอกจากนี้จำเลยไม่จ่ายเงินสมทบกองทุนเงินสะสมแก่โจทก์จำนวน ๑,๒๑๙,๑๔๘ บาท ๖๐ สตางค์ จำเลยนำบันทึกการจ่ายเงินให้โจทก์ลงนาม หากโจทก์ไม่ลงนามแล้วจำเลยขู่ว่าจะไม่จ่ายเงินใด ๆ แก่โจทก์โจทก์จำต้องยอมลงชื่อในบันทึกนั้น บันทึกดังกล่าวตกเป็นโมฆะเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์จ่ายเฉพาะบางส่วน จำเลยมิได้จ่ายเงินค่าภาษีเงินได้ส่วนบุคคลในเงินบำเหน็จแทนโจทก์ เงินชดเชยวันหยุดพักผ่อนประจำปี และเงินสมทบกองทุนเงินสะสมตามฟ้อง ส่วนค่าชดเชยและเงินบำเหน็จจำเลยคิดจากเงินเดือนเดือนละ ๔๙,๔๑๗ บาท มิได้คิดจากค่าจ้างสุดท้ายคือเดือนละ ๕๑,๑๖๗ บาท จำเลยจ่ายค่าชดเชย และเงินบำเหน็จขาดไปจำนวน ๙๔,๕๐๐ บาท จึงฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าภาษีเงินได้บุคคลที่หักจากโจทก์ไปจำนวน ๙๙๖,๓๑๐ บาท ค่าทำงานในวันหยุดพักผ่อนประจำปีจำนวน ๕๑,๑๖๗ บาท เงินสมทบจากกองทุนเงินสะสมจำนวน ๑,๒๑๙,๐๔๘ บาท ๖๐ สตางค์ และค่าชดเชยกับเงินบำเหน็จซึ่งจำเลยคำนวณผิดพลาดอีกจำนวน ๙๔,๕๐๐ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๓๖๑,๐๒๕ บาท ๖๐ สตางค์แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗ ครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยตั้งแต่วันที่ ๒ มกราคม ๒๕๐๒ ทำงานในแผนกช่าง ตำแหน่งพนักงานจนถึงวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๐๗ โจทก์ได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝึกงานอันเป็นตำแหน่งของพนักงานฝ่ายจัดการของบริษัทจำเลย โจทก์ทำสัญญาใหม่กับจำเลยเมื่อวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๐๗ มีสาระสำคัญว่าโจทก์มีสิทธิเข้าเป็นสมาชิกของกองทุนเงินสะสมของจำเลยข้อตกลงที่ระบุในสัญญาฉบับนี้จะมีผลใช้บังคับแทนข้อตกลงหรือสภาพการจ้างใด ๆ ที่เคยผูกพันหรือมีข้อบังคับระหว่างโจทก์กับจำเลยก่อนหน้าวันที่ทำสัญญานี้ กรณีโจทก์ถูกเลิกจ้าง จำเลยจะจ่ายเงินบำเหน็จให้นอกเหนือจากผลประโยชน์ตามที่ระบุในกองทุนเงินสะสมของบริษัทจำเลย โดยให้คำนวณจากเงินเดือนก่อนที่โจทก์ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ๖,๕๐๐ บาท และอายุงานของโจทก์นับถึงวันที่ได้รับการเลื่อนตำแหน่ง ๕ ปี ๔ เดือน ส่วนหลักเกณฑ์การคำนวณเงินบำเหน็จที่โจทก์อ้างนั้นใช้เฉพาะกับพนักงานในตำแหน่งผู้จัดการทุกคนเพื่อใช้แทนผลประโยชน์อื่น ๆ ที่ผู้จัดการเคยได้ในกรณีของการเกษียณอายุเท่านั้น โดยจะจ่ายให้หลังจากหักภาษีเงินได้แล้ว มิใช่เป็นการคำนวณเงินบำเหน็จที่ให้กับพนักงานลูกจ้างที่ทำงานกับบริษัทจำเลยทุกคนเพราะสำหรับพนักงานที่ไม่ใช่ฝ่ายจัดการบริษัทจำเลยได้มีกฎข้อบังและหลักเกณฑ์การคำนวณที่ชัดแจ้งอยู่แล้ว ในระยะเวลาที่โจทก์เป็นพนักงานของจำเลยจำเลยยังมิได้ประกาศเกี่ยวกับเงินบำเหน็จดังกล่าวเป็นลายลักษณ์อักษรเป็นทางการ ดังนั้น การจ่ายเงินบำเหน็จดังกล่าวให้กับพนักงานที่เป็นผู้จัดการของบริษัทจำเลยก็ย่อมอยู่ในดุลยพินิจของจำเลย
ใน พ.ศ. ๒๕๒๕ จำเลยประกาศเปลี่ยนแปลงโครงการเงินสะสม โดยจ่ายเงินสมทบส่วนที่เป็นของพนักงานคืนให้กับพนักงาน แต่เงินสมทบส่วนของบริษัทให้คงไว้ในกรณีที่ผู้จัดการลาออกเอง ถูกปลดออกโดยไม่มีความผิด หรือครบเกษียณอายุ และได้เปลี่ยนชื่อโครงการเป็นผลประโยชน์ของลูกจ้างตอนปลดเกษียณ โจทก์เคยเป็นสมาชิกกองทุนเงินสะสมหรือผลประโยชน์ของลูกจ้างตอนปลดเกษียณจริง ยอดเงินในบัญชีเมื่อสิ้นเดือนธันวาคม ๒๕๒๖ เป็นจำนวน๑,๑๘๐,๖๕๓ บาท ๒๘ สตางค์ หากนับยอดเงินดังกล่าวเดือนมกราคม ๒๕๒๗ อีกจำนวน ๔,๙๔๑ บาทแล้วจะเป็นเงินเท่ากับ ๑,๑๘๕,๕๙๔ บาท ๒๘ สตางค์
โจทก์ทำงานกับจำเลย ตำแหน่งสุดท้ายคือวิศวกรบำรุงรักษาเงินเดือน ๔๙,๔๑๗ บาท แต่เงินค่าน้ำมันรถเดือนละ ๑,๗๕๐ บาทนั้นมิใช่ค่าจ้าง เป็นเงินที่จำเลยจ่ายคืนให้โจทก์สำหรับค่าน้ำมันรถที่โจทก์จ่ายไปล่วงหน้าในการใช้รถเพื่อธุรกิจของจำเลยจำนวนเงินแต่ละเดือนจะไม่เท่ากัน เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๒๕ โจทก์ขอลาออกจากบริษัทจำเลยโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๒๗ เพื่อรับเงินผลประโยชน์ในการออกจากงานที่บริษัทจำเลยได้เสนอให้เป็นพิเศษมากกว่าเงินผลประโยชน์ที่โจทก์พึงได้ในกรณีที่โจทก์ลาออกเอง ถูกเลิกจ้าง หรือเกษียณอายุตามปกติซึ่งจำเลยจะจ่ายให้หลังจากหักภาษีเงินได้ส่วนบุคคลแล้ว ส่วนโครงการเงินบำเหน็จที่โจทก์กล่าวอ้างว่าบริษัทจำเลยเป็นผู้ออกภาษีเงินได้ให้นั้น เป็นโครงการเงินบำเหน็จของพนักงานที่ไม่ใช่ฝ่ายจัดการ จำเลยไม่มีหน้าที่จ่ายเงินภาษีเงินได้ให้แก่โจทก์ทั้งสิ้น โจทก์สมัครใจลาออกเองและได้ลงลายมือชื่อรับเงินผลประโยชน์ดังกล่าว จำเลยไม่ได้ทำการขู่บังคับให้โจทก์ลาออกแต่เสนอที่จะให้ผลประโยชน์พิเศษกับโจทก์ถ้าโจทก์สมัครใจลาออก เพราะทัศนคติในการทำงานและผลการทำงานของโจทก์ไม่เป็นไปตามคาดหมาย เนื่องจากโจทก์ทำงานกับจำเลยมาเป็นเวลานาน จำเลยไม่ต้องการปลดโจทก์ออกจากงานจึงเสนอผลประโยชน์พิเศษดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ตกลงใจขอลาออกนอกจากนี้จำเลยยังจ่ายเงินรางวัลพิเศษแก่โจทก์ที่ทำงานมาครบ ๒๕ ปี เป็นจำนวนอีก ๔๙,๔๑๗ บาท และอนุญาตให้โจทก์หยุดงานไปได้เลยเพื่อเป็นการชดเชยวันหยุดพักผ่อนประจำปีใด ๆ ที่โจทก์ยังไม่ได้หยุดในเดือนมกราคม ๒๕๒๗ โจทก์มิได้ไปทำงานให้กับจำเลย รวมเป็นเวลาที่โจทก์หยุดมากกว่าหนึ่งเดือนจำเลยไม่มีหน้าที่จ่ายเงินค่าชดเชยวันหยุดพักผ่อนประจำปีให้กับโจทก์ สำหรับเงินที่จำเลยจ่ายให้โจทก์กรณีโจทก์ลาออกนั้น เป็นเงินเดือนของเดือนมกราคม ๒๕๒๗ ๑ เดือน จำนวน ๔๙,๔๑๗ บาท เงินบำเหน็จจากวันเริ่มทำงานถึงอายุ ๓๕ ปี เท่ากับ ๑๐ X ๑.๕ X ๔๙,๔๑๗ = ๗๔๑,๒๕๕ บาทเงินบำเหน็จจากอายุ ๓๖ ปี ถึง ๕๐ ปี เท่ากับ ๑๕ X ๒ X ๔๙,๔๑๗ =๑,๔๘๒,๕๑๐ บาท เงินแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๓ เดือน เท่ากับ ๓ X๔๙,๔๑๗ = ๑๔๘,๒๕๑ บาท ค่าชดเชย ๖ เดือน เท่ากับ ๖ X ๔๙,๔๑๗ = ๒๙๖,๕๐๒ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๒,๗๑๗,๙๓๕ บาท หนังสือบันทึกการรับเงินดังกล่าว โจทก์สัญญาว่าจะไม่ใช้สิทธิเรียกร้องเงินหรือผลประโยชน์อื่นใดจากจำเลยในทุกกรณี ย่อมมีผลบังคับกันทางกฎหมาย มิได้เป็นโมฆะตามที่โจทก์ฟ้อง ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์ลาออกจากงานด้วยความสมัครใจมิใช่เนื่องจากจำเลยเลิกจ้าง หน้าที่สุดท้ายโจทก์เป็นพนักงานประจำฝ่ายจัดการของจำเลย กฎและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างสำหรับพนักงานประจำที่มิใช่ฝ่ายจัดการ ไม่ใช้กับพนักงานประจำระดับหัวหน้างานและผู้จัดการ จำเลยไม่มีความผูกพันต้องใช้กฎข้อบังคับดังกล่าวกับโจทก์ สิทธิของโจทก์ที่จะให้จำเลยชำระภาษีเงินได้แทนจึงไม่มีจำเลยไม่ต้องจ่ายภาษีเงินได้แก่โจทก์ เงินสมทบสำหรับกองทุนเงินสะสมนั้นเป็นเงินที่จำเลยสมัครใจจ่ายให้ มิใช่เงินที่กฎหมายคุ้มครองแรงงานบังคับให้จ่ายโจทก์ย่อมสละสิทธิเรียกร้องเงินดังกล่าวได้ การสละสิทธิเรียกร้องย่อมผูกพันโจทก์โจทก์ลาออกจากงานมิใช่จำเลยเลิกจ้าง จึงไม่ต้องจ่ายค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า กฎและข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ได้ระบุไว้ชัดเจนว่าสำหรับพนักงานประจำที่มิใช่ฝ่ายจัดการ เมื่อโจทก์เป็นพนักงานฝ่ายจัดการจะนำข้อบังคับดังกล่าวมาใช้ได้อย่างไร ที่โจทก์อ้างว่าสภาพการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยไม่ได้ทำเป็นหนังสือก็ฝ่าฝืนต่อความจริง เพราะตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๑ ปรากฏว่าโจทก์จำเลยมีสัญญาจ้างต่อกัน สัญญาดังกล่าวใช้บังคับได้เมื่อได้วินิจฉัยแล้วว่าสภาพการจ้างตามเอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๒ ไม่ใช้บังคับระหว่างโจทก์จำเลย และข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ลาออกมิใช่จำเลยเลิกจ้าง โจทก์จะอ้างสภาพการจ้างตามเอกสารดังกล่าวมาบังคับให้จำเลยออกภาษีเงินได้ให้ไม่ได้
เงินสมทบกองทุนเงินสะสมตามโครงการผลประโยชน์ทดแทนเป็นข้อตกลงระหว่างนายจ้างกับลูกจ้าง กฎหมายแรงงานมิได้บังคับให้ปฏิบัติ โจทก์จำเลยมีสิทธิตกลงกันเป็นอย่างอื่นได้หาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนไม่ โจทก์ต้องผูกพันตามเอกสารท้ายคำให้การหมายเลข ๘ ดังที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยไว้ชอบแล้ว
พิพากษายืน.

Share