คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4477/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าและครอบครองอาคารพิพาทค้างชำระค่าเช่าหากจำเลยประสงค์จะขับไล่โจทก์ก็ชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมายจำเลยไม่มีอำนาจกระทำโดยพลการใช้กุญแจพร้อมโซ่เหล็กคล้องและปิดประตูเหล็กอันเป็นทางเข้าออกอาคารพิพาท ทำให้โจทก์เข้าไปในอาคารพิพาทไม่ได้ เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองของโจทก์ถือได้ว่าจำเลยเข้าไปกระทำการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานบุกรุกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดตามฟ้อง จำคุก 1 เดือน ปรับ 1,000 บาท รอการลงโทษจำคุก 1 ปีโจทก์และจำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า นางพรรณีเป็นผู้เช่าห้องพิพาทต่อมาเปลี่ยนเป็นร้านขายอาหาร โดยโจทก์เป็นผู้จัดการ ในวันเวลาเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยเป็นผู้คล้องโซ่ปิดกุญแจประตูอาคารพิพาทและวินิจฉัยว่า “ปัญหามีว่าจำเลยกระทำผิดดังฟ้องหรือไม่ที่จำเลยนำสืบว่า โจทก์และนางพรรณียอมให้จำเลยปิดร้านนั้นก็มีจำเลยแต่เพียงผู้เดียวเบิกความเช่นนั้นอย่างเลื่อนลอยนายเหลือง ชิดเครือ พยานจำเลยอีกปากหนึ่งซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ดีเพราะเป็นลูกจ้างขับรถของจำเลย และช่วยจำเลยดูแลอาคารพิพาทก็ไม่ปรากฏว่าเคยได้ยินโจทก์หรือนางพรรณีพูดอนุญาตให้จำเลยปิดร้านได้ พยานปากนี้เบิกความว่า ทราบว่าโจทก์ก็ให้ปิดร้านแต่ทราบมาอย่างไรพยานปากนี้ก็มิได้อธิบายไว้ ตามพฤติการณ์ไม่น่าเชื่อว่าโจทก์หรือนางพรรณีอนุญาตให้จำเลยปิดร้านได้ เพราะหากโจทก์หรือนางพรรณีอนุญาตเช่นนั้นจริง โจทก์คงไม่ไปแจ้งความกล่าวหาจำเลยในเรื่องใช้โซ่คล้องและปิดกุญแจร้านนันทิดาคาเฟ่ตามรายงานประจำวันเกี่ยวกับคดีหมาย จ.1 ในวันเดียวกันนั้นโจทก์มีหนังสือสัญญาเช่าหมาย จ.4 มายืนยันว่า โจทก์กับพวกเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากนางสาวพรทิพย์ บำรุงวงษ์ จำเลยเองก็เบิกความยอมรับว่าโจทก์เข้ามาครอบครองอาคารพิพาทตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527ในฐานะผู้บริหารร้านนันทิดาคาเฟ่ และจำเลยเคยทวงค่าเช่าจากโจทก์ซึ่งเป็นการยอมรับว่าโจทก์เป็นผู้เช่าอาคารพิพาทและครอบครองอาคารพิพาทโดยปกติสุข ปรากฏตามหนังสือเช่าหมาย ล.1 ที่จำเลยส่งอ้างว่า นายนิมิตร เจียรพิพัฒนกุล บุตรจำเลยเป็นผู้เช่าอาคารพิพาทจากนายสุรสิทธิ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา มีกำหนด 20 ปี ดังนั้นจำเลยจึงเป็นเพียงผู้อาศัยนายนิมิตรอยู่ในอาคารพิพาทชั้นที่ 2เท่านั้นเมื่อโจทก์และนางพรรณีค้างชำระค่าเช่า หากจำเลยประสงค์จะขับไล่บุคคลทั้งสองออกจากอาคารพิพาท จำเลยก็ชอบที่จะดำเนินการตามกฎหมาย จำเลยไม่มีอำนาจกระทำโดยพลการใช้กุญแจพร้อมโซ่เหล็กคล้องและปิดประตูเหล็กอันเป็นทางเข้าออกอาคารพิพาท ทำให้โจทก์เข้าไปในอาคารพิพาทไม่ได้ เป็นการล่วงล้ำเข้าไปในอำนาจการครอบครองของโจทก์ ถือได้ว่าจำเลยเข้าไปกระทำการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของโจทก์โดยปกติสุขตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 362 แล้ว”
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share