คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14975/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยในเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถ” ก็ตาม แต่ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์เยื้องไปทางด้านหลังซ้ายรถยนต์ที่ ร. ขับ ดังนี้ จำเลยจึงขับรถอยู่คนละช่องเดินรถกับรถที่ ร. ขับ และเหตุที่รถที่จำเลยขับชนรถที่ ร. ขับเนื่องมาจาก ร. เบี่ยงรถมาทางด้านซ้าย กรณีจึงถือไม่ได้ว่ารถที่ ร. ขับเป็นรถคันหน้าที่จำเลยต้องขับรถให้ห่างพอสมควรที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถตามบทบัญญัติดังกล่าว ทั้งได้ความว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วเพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่ทรัพย์สิน จำเลยจึงไม่มีความผิด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 40, 43 (1), 157
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง, 43 (4), 157 ปรับ 800 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลย 800 บาท จึงต้องห้ามคู่ความมิให้อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นในปัญหาข้อเท็จจริงตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ.2490 มาตรา 22 ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่า วันเวลาเกิดเหตุนายรังสรรพ์ ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน กจ 1069 ปทุมธานี ไปตามถนนศรีนครินทร์จากแยกศรีอุดมบางนา – ตราด มุ่งหน้าแยกสวนหลวง อ่อนนุช ส่วนจำเลยขับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน ฬกฬ กรุงเทพมหานคร 88 เยื้องไปทางด้านหลังซ้ายรถที่นายรังสรรพ์ขับ เมื่อถึงบริเวณที่เกิดเหตุเลยสี่แยกพาราไดซ์หรือสี่แยกพาราไดซ์พาร์ค ซึ่งถนนบริเวณดังกล่าวไม่มีเส้นแบ่งช่องเดินรถ รถที่นายรังสรรพ์ขับเบี่ยงมาทางด้านซ้าย เป็นเหตุให้รถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับเฉี่ยวชนกับท่อไอเสียด้านท้ายล่างมุมซ้ายของรถยนต์คันที่นายรังสรรพ์ขับ ทำให้รถทั้งสองคันได้รับความเสียหายและจำเลยได้รับอันตรายสาหัส
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ เห็นว่า แม้พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 40 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า “ผู้ขับขี่ต้องขับรถให้ห่างรถคันหน้าพอสมควรในระยะที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัย ในเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถ” ก็ตาม แต่ได้ความว่าก่อนเกิดเหตุจำเลยขับรถจักรยานยนต์เยื้องไปทางด้านหลังซ้ายรถที่นายรังสรรพ์ขับ ดังนี้ จำเลยจึงขับรถจักรยานยนต์อยู่คนละช่องเดินรถกับรถที่นายรังสรรพ์ขับ และเหตุที่รถจักรยานยนต์ชนรถที่นายรังสรรพ์ขับเนื่องมาจากนายรังสรรพ์เบี่ยงรถมาทางด้านซ้าย กรณีดังกล่าวจึงถือไม่ได้ว่ารถที่นายรังสรรพ์ขับเป็นรถคันหน้าที่จำเลยต้องขับรถให้ห่างพอสมควรที่จะหยุดรถได้โดยปลอดภัยเมื่อจำเป็นต้องหยุดรถตามบทบัญญัติดังกล่าว ทั้งได้ความว่าจำเลยขับรถจักรยานยนต์ด้วยความเร็วเพียง 30 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่ทรัพย์สิน จำเลยจึงไม่มีความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share