แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้ชัดแจ้งว่า จำเลยมีพฤติการณ์ในการจำหน่ายประการใดบ้าง ส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวน เป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ทั้งจำเลยก็ได้ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงไม่อาจอาศัยมาฟังลงโทษจำเลยได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความผิดที่มีโทษฉกรรจ์ ซึ่งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำพยานเข้าสืบประกอบ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพพยานหลักฐานโจทก์จึงไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
เจ้าพนักงานผู้จับกุมได้พบตัวจำเลยขณะขับรถโดยสารประจำทางจึงได้ติดตามไปทำการจับกุมและตรวจค้นในทันทีทันใด ที่จำเลยขับรถเข้าไปจอดในอู่รถโดยสารประจำทาง มิฉะนั้น จำเลยย่อมหลบหนีหรือเคลื่อนย้ายยาเสพติดให้โทษของกลางไปได้ เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานผู้จับกุมสามารถค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 92(4)
ที่จำเลยฎีกาว่า มีปัญหาส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้จับกุมด้วย ก็มิได้ปรากฏว่า มีข้อเท็จจริงใด ๆ เป็นการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นคือใครและได้กระทำการอันมิชอบแต่ประการใด จึงไม่เป็นสาระที่จะเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีน อันเป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำนวน 110 เม็ด น้ำหนักรวม 9.97 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15, 66, 67, 102 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 8 ปี จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 5 ปี 4 เดือน ริบเมทแอมเฟตามีนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 จำคุก 6 ปี ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หนึ่งในสาม คงจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
สำหรับปัญหาที่โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายนั้น โจทก์นำสืบแต่เพียงว่า ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนให้แก่พนักงานในอู่รถประจำทางอยู่เป็นประจำโดยจำหน่ายให้แก่คนรู้จักเท่านั้น เห็นว่า ความผิดฐานดังกล่าวโจทก์ไม่มีพยานนำสืบให้ชัดแจ้งว่า จำเลยมีพฤติการณ์ในการจำหน่ายแต่ประการใด ส่วนคำรับสารภาพของจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนนั้น เป็นเพียงพยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อย ทั้งจำเลยก็ได้ให้การปฏิเสธในชั้นพิจารณา จึงไม่อาจอาศัยมาฟังลงโทษจำเลยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นความผิดที่มีโทษฉกรรจ์ซึ่งตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายเป็นหน้าที่ของโจทก์จะต้องนำพยานเข้าสืบประกอบ แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพ พยานหลักฐานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
ส่วนปัญหาที่จำเลยฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์ทั้งหมดนั้น เห็นว่า ข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นโต้เถียงเกี่ยวกับการค้นว่าไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น ข้อเท็จจริงแห่งคดีปรากฏว่าเจ้าพนักงานผู้จับกุมได้พบตัวจำเลยขณะขับรถโดยสารประจำทางจึงได้ติดตามไปทำการจับกุมและตรวจค้นในทันทีทันใด ที่จำเลยขับรถเข้าไปจอดในอู่รถโดยสารประจำทาง มิฉะนั้น จำเลยย่อมหลบหนีหรือเคลื่อนย้ายยาเสพติดให้โทษของกลางไปได้ เป็นกรณีที่เจ้าพนักงานผู้จับกุมสามารถค้นได้โดยไม่ต้องมีหมายค้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 92(4)
สำหรับปัญหาที่จำเลยฎีกาว่า มีปัญหาส่วนตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้หนึ่งซึ่งเป็นผู้จับกุมด้วยนั้น เป็นเพียงคำเบิกความลอย ๆ ของจำเลย และก็มิได้ปรากฏว่ามีข้อเท็จจริงใด ๆ เป็นการยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้นั้นคือใครและได้กระทำการอันมิชอบแต่ประการใด จึงไม่เป็นสาระที่จะเปลี่ยนแปลงผลแห่งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ได้
พิพากษายืน