คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2522

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาบุกรุก ลักทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ ศาลพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ จำเลยไม่มีเจตนาลักทรัพย์ ที่พิพาทเป็นของจำเลย ถือไม่ได้ว่าจำเลยเจตนากระทำผิดฐานบุกรุกตามฟ้อง คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์กลับมาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกว่าจำเลยบุกรุกที่ดินโจทก์ ขอให้ใช้ค่าเสียหาย ดังนี้ มูลคดีทางแพ่งที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยในคดีนี้ ด็คือมูลคดีเดียวกับคดีที่โจทก์ได้ฟ้องร้องจำเลยในคดีอาญาดังกล่าวข้างต้น การวินิยฉัยคดีส่วนแพ่งจึงจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ได้ความในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 46 เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังเป็นยุติแล้วว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ฟ้องโจทก์ ซึ่งอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลคดีเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกับพวกบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ตัดฟันต้นสะแกของโจทก์ ใช้ไม่ไผ่ปิดกั้นทางน้ำ ถอนเสารั้ว ขุดถอนต้นมะพร้าว ตะไคร้และกล้วย กับขุดดินถมบ่อของโจทก์ ขอศาลห้ามจำเลยเข้าเกี่ยวข้อง ให้เปิดทางน้ำ และให้ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยไม่เคยบุกรุกที่ดินและตัดต้นไม้ของโจทก์ดังฟ้อง โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายซ้ำกับที่ฟ้องมาในคดีอาญาหมายเลขดำที่ ๓๖๖๕/๒๕๑๘ ของศาลชั้นต้น เดิมที่ดินพิพาทเป็นของนายสินและนางจันทร์ โพธิ์สุข บิดามารดาสามีจำเลยที่ ๑ เมื่อนายสินตาย นางจันทร์แบ่งที่ดินพิพาทให้สามีจำเลยที่ ๑ สามีจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ ได้ร่วมกันครอบครองที่ดินดังกล่าวโดยปรปักษ์มาจนเมื่อประมาณ ๒๕ ปีมานี้ สามีจำเลยที่ ๑ จึงตายลง จำเลยที่ ๑ ได้สมรสกับจำเลยที่ ๒ และครอบครองปรปักษ์ที่ดินดังกล่าวต่อมาจนปัจจุบัน ฟ้องแย้งขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ โดยการครอบครองปรปักษ์
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งและเพิ่มเติมคำให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งไม่เกี่ยวกับฟ้องเดิม จำเลยไม่เคยครอบครองที่พิพาท จึงไม่ได้กรรมสิทธ์
วันชี้สองสถาน จำเลยสละฟ้องแย้งและคำขอบังคับ และโจทก์จำเลยรับกันว่าค่าเสียหายคอดเป็นเงิน ๕๐๐ บาท คดีคงมีประเด็นข้อพิพาทว่า ที่พิพาทเป็นของโจทก์หรือจำเลย จำเลยทำละเมิดต่อโจทก์เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายหรือไม่ โจทก์จำเลยไม่ติดใจสืบพยานอื่น โดยขอให้นำพยานหลักฐานที่โจทก์จำเลยนำสืบไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๒๖๓/๒๕๑๙ ของศาลชั้นต้นมาวินิจฉัยชี้ขาดประเด็นข้อพิพาทคดีนี้
ศาลชั้นต้นฟังว่า ที่พิพาทอยู่ในเขตที่ดินตามโฉนดของโจทก์จำเลยมิได้ครอบครองปรปักษ์ และจำเลยตัดฟันต้นไม้ของโจทก์เสียหาย พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ ให้จำเลยร่วมกันใช้ค่าสินไหมทดแทนพร้อมดอกเบี้ย
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า ที่พิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ ๑ และที่ ๒
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้โจทก์ได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญาในข้อหาบุกรุก ลักทรัพย์ และทำให้เสียทรัพย์ โดยกล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์ ตัดฟันเอาต้นสุแกของโจทก์ไป ๖ ต้น ใช้ไม้ปิดกั้นทางน้ำในเขตที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์นำเรือเข้าออกไม่ได้ ขุดดินถมบ่อของโจทก์ ถอนเสารั้วที่โจทก์ปักไว้เป็นแนวเขตที่ดินระหว่างโจทก์จำเลย และขุดถอนต้นมะพร้าว ๕ ต้น ตะไคร้ ๑๒ กอ และกล้วย ๕ ต้นในที่ดินของโจทก์ ซึ่งศาลชึ้นต้นฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำโดยเจตนาทุจริตหามีความผิดฐานบุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ หรือลักทรัพย์ตามโจทก์ฟ้องไม่ ส่วนศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงว่าที่พิพาทอยู่นอกเขตโฉนดที่ ๑๒๖๙ ของโจทก์ แต่อยู่ในเขตโฉนดที่ ๑๒๗๕ ของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายสง่า การที่จำเลยถอนเสารั้วของโจทก์เพียงแต่ถอนขึ้นเท่านั้น มิได้ทำให้ชำรุดเสียหาย ถอนต้นตะไคร้ กล้วย มะพร้าวที่โจทก์เพิ่มปลูก เพื่อให้โจทก์เอาไปคืนไปปลูกที่อื่น เพราะต้องการขุดดินเอามาทำเป็นทางเดิน ไม่ปรากฏต้นไม้นั้นเสียหายอย่างใด สามารถนำไปปลูกใหม่ได้ จำเลยทำไปเพราะเชื่อว่าปลูกในเขตที่ดินของจำเลย โดยเจตนาใช้สิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้ามาเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตน โดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้นก็เป็นเหตุสมควรที่จำเลยจะปฏิบัติเช่นนั้น เพื่อยังให้ความเสียหายหรือเดือดร้อนสิ้นไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามคำพยานโจทก์ยังฟังไม่ได้แน่ว่าโจทก์ปลูกต้นสะแกไว้ในที่พิพาท จำเลยตัดฟันเอาไป ถือไม่ได้ว่าจำเลยเจตนาลักไม้สะแก และตามพฤติการณ์นี้เดิมที่พิพาทเป็นที่บิดามารดาของสามีจำเลยที่ ๑ ใช้ปลูกบ้าน สามีจำเลยที่ ๑ และจำเลยที่ ๑ เคยอยู่ในที่พิพาท จำเลยที่ ๑ เคยให้ผู้อื่นเช่าที่พิพาท เคยแจ้งความเมื่อมีกรณีพิพาทกับโจทก์ ตามพฤติการณ์ดังกล่าวของจำเลย เชื่อว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเจตนากระทำผิดฐานบุกรุกตามฟ้อง ปรากฏตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ๓๒๖๓/๒๕๑๙ ของศาลชั้นต้น คดีดังกล่าวได้ถึงที่สุดแล้ว
ศาลฎีกาเห็นว่า มูลคดีทางแพ่งที่โจทก์นำมาฟ้องร้องจำเลยในคดีนั้น ก็คือมูลคดีเดียวกับคดีที่โจทก์ได้ฟ้องร้องจำเลยในคดีอาญาตามคดีดังกล่าวข้างต้น เมื่อโจทก์ได้นำมูลเรื่องพิพาทกันนี้ไปฟ้องร้องจำเลยเป็นคดีทางอาญามาแล้ว ในการวินิจฉัยคดีส่วนแพ่งก็จำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ได้ความในคำพิพากษาคดีส่วนอาญานั้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๔๖ เมื่อข้อเท็จจริงในคดีส่วนอาญาฟังเป็นยุติแล้วว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายสง่า จำเลยไม่ได้ทำให้เสียทรัพย์ลักทรัพย์และบุกรุก ฉะนั้นฟ้องโจทก์ ซึ่งอ้างสภาพแห่งข้อหาในมูลคดีเดียวกับคดีอาญาดังกล่าวจึงย่อมตกไป
พิพากษายืนในผลแห่งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share