แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2514 ลูกหนี้ที่ 1 ทำหนังสือสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับเจ้าหนี้ผู้ขอรับชำระหนี้ กำหนดชำระเงินคืนภายใน 6 เดือน ต่อมาลูกหนี้ที่ 1 ขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้อีกหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้ไปจนถึงวันที่ 13 มกราคม 2519 แม้ลูกหนี้ที่ 1 และเจ้าหนี้จะตกลงยืดอายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครั้งสุดท้ายมาเพียงวันดังกล่าวก็ตาม แต่ก็ไม่อาจถือได้แน่นอนว่าสัญญาจะสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว เพราะไม่มีข้อตกลงว่าเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลานั้นให้สัญญาเป็นอันเลิกกันทันที เมื่อไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาและให้หักทอนบัญชี ตามพฤติการณ์ของคู่สัญญาถือว่ามีการต่ออายุสัญญาต่อไปอีกปริยาย สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ที่ 1 อันเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงหาสิ้นสุดในวันที่ 13 มกราคม 2519 ไม่ เจ้าหนี้จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปจนถึงวันศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องจากศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ (จำเลย) ทั้งสามเด็ดขาดเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๙ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้และแก้ไขคำขอว่า ลูกหนี้เป็นหนี้ตามสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีฉบับลงวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๔ รวมทั้งต้นเงินและดอกเบี้ยคิดถึงวันพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นเงิน ๒,๕๓๔,๕๓๘.๕๖ บาท
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วเห็นว่า ลูกหนี้ที่ ๑ เป็นหนี้เบิกเงินเกินบัญชีกับเจ้าหนี้ หนี้รายนี้นายเหมและลูกหนี้ที่ ๓ เป็นผู้ค้ำประกัน แต่สัญญาบัญชีเดินสะพัดสิ้นสุดเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๙ เจ้าหนี้จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นเพียงวันดังกล่าวเท่านั้น หลังจากนั้นเจ้าหนี้ชอบที่จะได้รับดอกเบี้ยในฐานะลูกหนี้ผิดนัดร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เห็นควรให้ธนาคารกรุงเทพ จำกัด เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ๒,๔๓๑,๖๑๗.๐๓ บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ ๑ ที่ ๒ หากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกันเพียงใดแล้วให้ได้รับชำระหนี้ลดลงตามส่วนที่เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ไปเพียงนั้นตามมาตรา ๑๓๐(๓) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช ๒๔๘๓ ส่วนที่ขอเกินมาให้ยก ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วมีคำสั่งอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ตามความเห็นเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์
เจ้าหนี้อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ยังไม่มีการเลิกสัญญาบัญชีเดินสะพัดเจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ถึงวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๑๙ อันเป็นวันที่ลูกหนี้ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด พิพากษาแก้เป็นว่าอนุญาตให้เจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ ๒,๕๓๔,๕๓๘.๕๖ บาท นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำสั่งศาลชั้นต้น
เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ฎีกา
ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๑๔ ลูกหนี้ที่ ๑ ทำหนังสือสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีกับเจ้าหนี้เป็นจำนวนเงินไม่เกิน ๓ ล้านบาทกำหนดชำระเงินคืนภายใน ๖ เดือน ต่อมาลูกหนี้ที่ ๑ ขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้อีกหลายครั้ง ครั้งสุดท้ายลูกหนี้ที่ ๑ ขอเลื่อนกำหนดชำระหนี้ไปจนถึงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๙ เจ้าหนี้ตกลง เมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๙ ลูกหนี้ที่ ๑ เป็นหนี้เจ้าหนี้ ๓,๑๐๔,๖๖๔.๓๒ บาท
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ลูกหนี้ที่ ๑ และเจ้าหนี้จะตกลงยืดอายุสัญญาเบิกเงินเกินบัญชีครั้งสุดท้ายมาเพียงวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๙ ก็ตาม แต่ก็ไม่อาจถือได้แน่นอนว่าสัญญาจะสิ้นสุดลงในวันดังกล่าว เพราะไม่มีข้อตกลงว่าเมื่อสิ้นกำหนดระยะเวลานั้นให้สัญญาเป็นอันเลิกกันทันที เมื่อคดีไม่ปรากฏว่าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดบอกเลิกสัญญาและให้หักทอนบัญชี ตามพฤติการณ์ของคู่สัญญาถือว่ามีการต่ออายุสัญญาต่อไปอีกโดยปริยาย สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีระหว่างเจ้าหนี้และลูกหนี้ที่ ๑ อันเป็นสัญญาบัญชีเดินสะพัดจึงหาสิ้นสุดลงในวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๑๙ ไม่ เจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นต่อไปจนถึงวันที่ศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็ดขาดตามคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ศาล อุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
พิพากษายืน