คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2495

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เช่าบ้านอยู่ในจังหวัดธนบุรี แล้วย้ายไปรับราชการและไปมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเสียถึง 3 ปี คงมีบริวารอยู่บ้านเช่าเท่านั้น ดังนี้ ผู้เช่าย่อมไม่ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ เพราะไปมีภูมิลำเนาอยู่ทีอื่นเสียหลายปีแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ได้ให้จำเลยที่ ๑ เช่าบ้านของโจทก์มากว่า ๑๐ ปี ค่าเช่าเดือนละ ๗ บาท ในปัจจุบันจำเลยที่ ๑ เลิกเช่าและอพยพไปอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ส่วนบ้านเช่านี้ปรากฎว่าจำเลยที่ ๒ กับบริวารเข้าไปอยู่โดยปราศจากอำนาจขอให้ศาลขับไล่
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ ๑ เช่าบ้านโจทก์มา ๑๐ ปีแล้ว จำเลยที่ ๑ รับราชการอยู่ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา แต่ครอบครัวยังคงอาศัยอยู่บ้านพิพาทนี้ จำเลยที่ ๒ ก็เป็นบุตรจำเลยที่ ๑
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขันเป็น พ.ร.บ.ที่จำกัดสิทธิของผู้ให้เช่า ศาลจำต้องตีความโดยเคร่งครัด เรื่องนี้จำเลยย้ายไปรับราชการอยู่มีภูมิลำเนาอยู่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๓ ปีแล้ว คงอยู่ในบ้านรายพิพาทแต่บริวารเท่านั้น คดีไม่มีประเด็นว่าโจทก์ได้ยินยอมให้บริวารของจำเลยที่ ๑ อยู่อาศัย จะว่าตัวจำเลยที่ ๑ ได้รับความคุ้มครองตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ จำเลยที่ ๑ ก็ไปมีภูมิลำเนาอยู่ที่อื่นเสียหลายปี จะว่าบริวารได้รับความคุ้มครอง คดีก็ไม่มีประเด็นเช่นนั้น ข้อเท็จจริงรับกันว่าโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยที่ ๑ และบริวารออกไปจากบ้านรายนี้แล้ว แต่บริวารจำเลยไม่ยอมออก เป็นการอยู่โดยละเมิด โจทก์ฟ้องขับไล่ได้
จึงพิพากษากลับศาลล่างทั้ง ๒ ให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกจากบ้านรายพิพาท ฯลฯ

Share