แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์ทราบดีว่า พ. ขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแล้ว แต่โจทก์ยังจดทะเบียนรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 21585 รวมทั้งที่ดินพิพาทจาก พ. โดยเสน่หาซึ่งเป็นเวลาภายหลังจาก พ. ทำหนังสือสัญญาซื้อขายให้แก่จำเลยแล้ว จึงเป็นการรับโอนมาโดยไม่สุจริต แม้โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 21585 ก็ตาม แต่โจทก์ก็ไม่สามารถนำมาใช้ยันจำเลยซึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทตามหนังสือสัญญาซื้อขาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหาย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 21585 ตำบลท่าไม้ อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ ให้จำเลยชำระค่าเสียหาย 18,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์และให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 3,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยและบริวารออกจากที่ดินโฉนดเลขที่ 21585 ตำบลท่าไม้ อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสวรรค์ เฉพาะส่วนเนื้อที่ 2 งาน 94 ตารางวา ตามรูปแผนที่พิพาท แนวเขตเส้นสีเขียว และให้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยชำระเงิน 6,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 25 พฤศจิกายน 2552) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และให้ชำระค่าเสียหายเดือนละ 1,000 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากที่ดินพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความรวม 6,000 บาท
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยหรือไม่ เห็นว่านอกจากได้ความจากนายประนอม ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 พยานจำเลยซึ่งโจทก์จำเลยเป็นลูกบ้านว่า จำเลยกับนางสำรี มาพบพยานที่บ้านและขอให้พยานช่วยจัดทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดิน โดยที่ดินเป็นกรรมสิทธิ์ของนางพยุง พยานจึงบอกให้นางพยุงลงลายมือชื่อยินยอมการขายเสียก่อน จากนั้นจำเลยและนางสำรีบอกว่าจะกลับมาหาพยานอีกครั้งเพื่อให้จัดทำหนังสือสัญญาซื้อขาย พยานบอกว่าให้ไปหานายเศียร ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านเป็นผู้จัดทำหนังสือสัญญาซื้อขายก็ได้ ต่อมาพยานเห็นจำเลยถมดินลงในที่ดินพิพาทและปลูกสร้างบ้านโดยโจทก์และนางพยุงไม่ได้มาแจ้งต่อพยานว่าจำเลยบุกรุกที่ดินพิพาท ยังได้ความจากนายแจ้ว ข้าราชการกรมชลประทานซึ่งมีหน้าที่ระวังแนวเขตพื้นที่ของกรมชลประทานรวมถึงคลองส่งน้ำของกรมชลประทานในพื้นที่หมู่ที่ 9 และที่ 10 พยานจำเลยอีกว่า เมื่อปี 2550 จำเลยมาแจ้งให้พยานไประวังแนวเขตคลองส่งน้ำของกรมชลประทานที่ติดกับที่ดินของนางพยุง ในวันที่ไประวังแนวเขตพยานพบจำเลย นางสำรี นางพยุง และนายเศียร ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 10 ต่อมานายเศียรถึงแก่ความตาย แต่จำเลยก็มีนางสมหมาย ภริยาของนายเศียรซึ่งเป็นหลานของนางพยุงมาเบิกความสนับสนุนคำพยานจำเลยดังกล่าวว่า จำเลยและนางสำรีเคยมาที่บ้านของพยานและขอให้นายเศียรช่วยจัดทำหนังสือสัญญาซื้อขายให้และมีการนำชี้ที่ดินที่จะซื้อขายกันด้วยโดยพยานไปด้วยพบจำเลย นางพยุง นางสำรีและนายแจ้วร่วมกันนำชี้แนวเขตที่ดิน เมื่อพิจารณาคำเบิกความของพยานจำเลยดังกล่าวซึ่งเป็นพยานคนกลาง ไม่มีเหตุที่จะเบิกความเพื่อช่วยเหลือฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จึงมีน้ำหนักให้รับฟังว่าจำเลยและนางพยุงมีการไปรังวัดที่ดินพิพาทเพื่อกำหนดแนวเขตเนื้อที่ดินที่จะทำสัญญาซื้อขาย ยิ่งกว่านั้นโจทก์เองก็ยอมรับว่าลายพิมพ์นิ้วมือในช่องผู้ขายในหนังสือสัญญาซื้อขาย เป็นลายพิมพ์นิ้วมือของนางพยุงจริงแต่อ้างว่าเหตุที่นางพยุงพิมพ์ลายนิ้วมือในหนังสือสัญญาซื้อขายดังกล่าวเพราะนายเศียรขอให้นางพยุงเป็นพยาน นางพยุงเข้าใจว่าเป็นพยานให้นายเศียรไปขอกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่นนั้น เห็นว่า เมื่อโจทก์ยอมรับว่าลายพิมพ์นิ้วมือในช่องผู้ขายในหนังสือสัญญาซื้อขาย เป็นของนางพยุงแล้ว โจทก์จะมาฎีกาโต้เถียงในชั้นฎีกาว่า นางพยุงไม่ได้ลงลายพิมพ์นิ้วมือต่อหน้าจำเลยก็ดี ไม่มีพยานลงลายมือชื่อรับรองครบ 2 คนตามกฎหมายจึงไม่มีผลก็ดี ล้วนแต่เป็นการโต้เถียงข้อเท็จจริงที่โจทก์ยอมรับแล้ว ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ส่วนที่โจทก์อ้างว่านางพยุงพิมพ์ลายนิ้วมือชื่อเพื่อเป็นพยานให้นายเศียรไปขอกู้ยืมเงินจากบุคคลอื่น นั้น ก็เป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ จึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟังเช่นกัน เมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของโจทก์นับตั้งแต่ทราบว่าจำเลยนำดินเข้าไปถมที่ดินพิพาทจนกระทั่งปลูกสร้างบ้านเสร็จเรียบร้อย โจทก์ไม่เคยโต้แย้งหรือห้ามปรามแต่อย่างใด โจทก์เพิ่งมาฟ้องคดีนี้ภายหลังจากจำเลยสร้างบ้านเสร็จสิ้นแล้ว เชื่อได้ว่าโจทก์ทราบโดยตลอดมาว่านางพยุงได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาท ให้แก่จำเลย โจทก์จึงไม่ได้เข้าห้ามปรามจำเลยไม่ให้เข้าไปถมที่ดินและปลูกสร้างบ้านในที่ดินพิพาท ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า นางพยุงมีเจตนาทำหนังสือสัญญาซื้อขาย ให้แก่จำเลย ดังนั้น การที่โจทก์ทราบดีว่านางพยุงขายที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยแล้วแต่โจทก์ยังจดทะเบียนรับโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 21585 รวมทั้งที่ดินพิพาทจากนางพยุงโดยเสน่หาซึ่งเป็นเวลาภายหลังจากนางพยุงทำหนังสือสัญญาซื้อขาย ให้แก่จำเลยแล้ว จึงเป็นการรับโอนมาโดยไม่สุจริต แม้โจทก์มีชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดเลขที่ 21585 ก็ตาม โจทก์ไม่สามารถนำมาใช้ยันจำเลยซึ่งอาศัยอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอาศัยสิทธิตามหนังสือสัญญาซื้อขาย ได้ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยให้ออกไปจากที่ดินพิพาทและเรียกค่าเสียหายตามฟ้องคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ