คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5453/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 วรรคสี่ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่าคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานนั้นคู่ความเพียงแต่แสดงให้เห็นเป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาได้ก็เป็นอันเพียงพอแล้ว หาจำต้องอ้างแสดงเหตุถึงขนาดว่ากรณีมีเหตุสุดวิสัยไม่ การที่ทนายจำเลยมอบบัญชีระบุพยานให้ ส. ก่อนวันสุดท้ายโดยให้ ส. นำไปยื่นในวันสุดท้าย แต่ ส. ไม่ได้นำบัญชีระบุพยานไปยื่นต่อศาลเนื่องจาก ส. ได้รับโทรศัพท์ทางไกลให้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพราะมารดาป่วยหนัก จึงออกเดินทางกลับต่างจังหวัดอย่างกะทันหัน โดย ส. มิได้แจ้งให้ทนายจำเลยทราบนั้น แสดงให้เห็นว่าทนายจำเลยไม่ระมัดระวังเอาใจใส่รับผิดชอบคดีของตน เพราะแทนที่จะรีบยื่นบัญชีระบุพยานเสียแต่เนิ่น ๆ แต่กลับปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปจนถึงก่อนวันสุดท้าย จึงมอบให้ ส. ไปยื่นบัญชีระบุพยานแทนตนและทนายจำเลยก็มิได้ติดตามสอบถาม ส. ว่าผลการดำเนินการเป็นอย่างไรจึงเป็นความบกพร่องผิดพลาดของทนายจำเลย ถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรที่จำเลยไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาในข้อกำหนดคดีภาษีอากร ข้อ 8 วรรคสี่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงินภาษีอากรและเงินเพิ่มจำนวน 11,334.57 บาท พร้อมด้วยเงินเพิ่มอากรขาเข้า ในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนเป็นเงินเดือนละ 33.52 บาทนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลภาษีอากรกลางชี้สองสถานวันที่ 25 ตุลาคม 2533 ครั้นต่อมาวันที่ 20 พฤศจิกายน 2533 จำเลยยื่นคำร้องขอยื่นบัญชีระบุพยานศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2533 ว่ากรณีตามคำร้องมิใช่เหตุสุดวิสัย จึงไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานให้ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
ศาลภาษีอากรกลางพิพากษาให้จำเลยชำระเงินภาษีอากร 11,334.57 บาทพร้อมเงินเพิ่มอากรขาเข้า ในอัตราร้อยละ 1 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนของอากรขาเข้าที่ขาด เป็นเงินเดือนละ 33.52 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า “ข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 วรรคสี่ ระบุว่า “เมื่อระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานตามวรรคหนึ่งหรือวรรคสอง แล้วแต่กรณี ได้สิ้นสุดลงแล้ว ถ้าคู่ความซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานแสดงให้เป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่ามีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ ฯลฯ คู่ความดังกล่าวนั้นอาจยื่นคำร้องต่อศาล ไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนพิพากษาคดี ขออนุญาตอ้างพยานหลักฐานเช่นว่านั้นและถ้าศาลเห็นว่าเพื่อให้การวินิจฉัยชี้ขาดข้อสำคัญแห่งประเด็นเป็นไปโดยเที่ยงธรรม จำเป็นจะต้องสืบพยานหลักฐานเช่นว่านั้นก็ให้ศาลอนุญาตตามคำร้อง” ตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรดังกล่าวย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า กรณีคู่ความซึ่งมิได้ยื่นบัญชีระบุพยานคำร้องขอระบุพยานภายหลังจากระยะเวลาที่กำหนดให้ยื่นบัญชีระบุพยานสิ้นสุดลงแล้วนั้น คู่ความนั้นเพียงแต่แสดงให้เห็นเป็นที่พอใจแก่ศาลได้ว่า มีเหตุอันสมควรที่ไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาดังกล่าวได้ก็เป็นอันเพียงพอแล้ว หาจำต้องอ้างแสดงเหตุถึงขนาดว่ากรณีมีเหตุสุดวิสัยดังคำสั่งของศาลภาษีอากรกลางไม่อุทธรณ์ข้อนี้ของจำเลยฟังขึ้น
ปัญหาวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อกฎหมายของจำเลยประการต่อไปมีว่าเหตุตามคำร้องของจำเลย ฉบับลงวันที่ 20 พฤศจิกายน 2533เป็นเหตุอันสมควรที่จำเลยไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาในข้อกำหนดคดีภาษีอากรหรือไม่ ในข้อนี้จำเลยอ้างเหตุในคำร้องว่าคดีนี้ศาลภาษีอากรกลางนัดชี้สองสถาน วันที่ 25 ตุลาคม 2533จำเลยต้องยื่นบัญชีระบุพยานภายในวันที่ 17 ตุลาคม 2533 ในวันที่16 ตุลาคม 2533 ทนายจำเลยได้มอบบัญชีระบุพยานให้แก่นาย สุวิทย์ รัตนะรัต นำไปยื่นแทนในวันที่ 17 ตุลาคม 2533 แต่ทนายจำเลยเพิ่งมาทราบในภายหลังว่านาย สุวิทย์ ไม่ได้ยื่นบัญชีระบุพยานในวันดังกล่าว เนื่องจากได้รับโทรศัพท์ทางไกลให้กลับบ้านที่ต่างจังหวัดเพราะมารดาป่วยหนัก และนาย สุวิทย์ ได้ออกเดินทางอย่างกะทันหันในวันที่ 16 ตุลาคม 2533 เวลาประมาณ 20 นาฬิกาโดยมิได้แจ้งให้ทนายจำเลยทราบ เห็นว่า เหตุที่จำเลยยกขึ้นอ้างในคำร้องดังกล่าว แสดงว่าทนายจำเลยก็ยอมรับรู้ว่าตามข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 วรรคหนึ่ง นั้น คู่ความต้องยื่นบัญชีระบุพยานต่อศาลก่อนวันชี้สองสถานไม่น้อยกว่า 7 วัน แต่แทนที่ทนายจำเลยจะเอาใจใส่ปฏิบัติให้เป็นไปตามข้อกำหนดดังกล่าวซึ่งได้กำหนดขึ้นเป็นพิเศษเพื่อเร่งรัดให้การดำเนินคดีภาษีอากรเป็นไปโดยสะดวกรวดเร็วและเที่ยงธรรม โดยรีบยื่นบัญชีระบุพยานเสียแต่เนิ่น ๆ ทนายจำเลยกลับปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปจนถึงก่อนวันสุดท้าย จึงได้มอบบัญชีระบุพยานให้นาย สุวิทย์ ไปยื่นเอาในวันสุดท้ายของกำหนดเวลาซึ่งแสดงให้เห็นในเบื้องต้นว่า ทนายจำเลยไม่ระมัดระวังเอาใจใส่รับผิดชอบคดีของตนเท่าที่ควร ยิ่งกว่านั้นเมื่อทนายจำเลยมอบหมายให้นาย สุวิทย์ ไปยื่นบัญชีระบุพยานซึ่งเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่สำคัญแทนตนในวันสุดท้ายเช่นนี้ ก็ควรที่ทนายจำเลยจะต้องติดตามสอบถามว่าผลการดำเนินการเป็นอย่างไร แต่ทนายจำเลยก็หาได้กระทำไม่เป็นเหตุให้ทนายจำเลยไม่ทราบว่านาย สุวิทย์ ไม่ได้นำบัญชีระบุพยานไปยื่นต่อศาลตามที่มอบหมาย พฤติการณ์ตามคำร้องส่อแสดงว่าทนายจำเลยไม่ระมัดระวังขวนขวายเอาใจใส่ในการยื่นบัญชีระบุพยานให้ทันกำหนดเวลาตามกฎหมาย ซึ่งเป็นความบกพร่องผิดพลาดของทนายจำเลยเอง ถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีมีเหตุอันสมควรที่จำเลยไม่สามารถยื่นบัญชีระบุพยานตามกำหนดเวลาในข้อกำหนดคดีภาษีอากรข้อ 8 วรรคสี่ ที่ศาลภาษีอากรกลางมีคำสั่งไม่อนุญาตให้จำเลยยื่นบัญชีระบุพยานมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share