แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ฎีกาเพียงว่าไม่เห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ขอยื่นฎีกาเพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้กระทำผิด แม้การต่อสู้คดีของจำเลย พยานและคำให้การของจำเลยไม่สามารถหักล้างพยานโจทก์จำเลยก็ขอยืนยันคำให้การเดิมที่ให้การไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่ประสงค์จะอ้างอิงในชั้นฎีกา และไม่ได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างใดดังนี้ ฎีกาของจำเลยที่ 2 ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225 และ 216
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบเฮโรอีนของกลางและเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ด้วย
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธแต่รับว่าเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกและพ้นโทษมาจริงตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 15,66 วรรคแรก เป็นความผิดสองกรรมให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ลงโทษจำคุกจำเลยคนละ 7 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีน ลงโทษจำคุกคนละ 7 ปี รวมเป็นโทษจำคุกจำเลยคนละ 14 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด7 ปี เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กึ่งหนึ่ง ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 97 เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 21 ปี ชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 15 ปี 9 เดือน ริบเฮโรอีนของกลาง
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าจำเลยที่ 2 กล่าวในฎีกาว่า”ด้วยความเคารพในคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ จำเลยมิอาจเห็นพ้องด้วยจึงขอยื่นฎีกาต่อศาล เนื่องจากจำเลยมิได้กระทำผิดในคดีนี้แต่ประการใด ถึงแม้ในการต่อสู้คดีของจำเลยนั้น พยานและคำให้การของจำเลยไม่สามารถหักล้างทางโจทก์ (ที่ถูกน่าจะเป็นพยานโจทก์) ได้ก็ตามแต่จำเลยก็ขอยืนยันคำให้การเดิมที่ได้ให้การไว้ในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์…” โดยจำเลยที่ 2 ไม่ได้ระบุข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายที่จำเลยที่ 2 ประสงค์จะยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาแต่ประการใดทั้งไม่ได้กล่าวอ้างว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีนี้ไม่ถูกต้องในข้อใดอย่างไร ฎีกาของจำเลยที่ 2 เช่นนี้ไม่เป็นการคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคสองประกอบด้วยมาตรา 225 และมาตรา 216แม้ศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกา ก็ไม่ทำให้เป็นฎีกาโดยชอบได้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย”
พิพากษายกฎีกาจำเลยที่ 2