คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1487/2529

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 253ย่อมมีผลอยู่จนคดีถึงที่สุด แม้ต่อมาศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ก็ตาม แต่เมื่อคดียังไม่ถึงที่สุดโจทก์ก็ต้องวางเงินตามที่ศาลกำหนด

ย่อยาว

เนื่องจากศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 253 และศาลฎีกาพิพากษายืน ศาลชั้นต้นจึงมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินเพื่อเป็นหลักค้ำประกันค่าธรรมเนียมโจทก์อุทธรณ์ขอให้งดการวางเงิน เนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้แก่โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “การที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 253 บัญญัติให้สิทธิแก่จำเลยที่จะร้องขอให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่าย ก็เพื่อคุ้มครองจำเลยให้มีหลักประกันที่จะบังคับเอาได้หากโจทก์แพ้คดีในที่สุด เนื่องจากโจทก์เป็นบุคคลอยู่นอกเขตอำนาจศาลซึ่งจำเลยไม่อาจบังคับเอาได้ดังนั้น เมื่อศาลมีคำสั่งให้โจทก์วางเงินประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามที่จำเลยร้องขอแล้ว คำสั่งนั้นย่อมมีผลอยู่จนคดีถึงที่สุด เมื่อศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์วางประกันค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายตามที่จำเลยร้องขอ โดยให้ศาลชั้นต้นกำหนดจำนวนเงินและเงื่อนไขตามที่เห็นสมควร คดีนี้ยังไม่ถึงที่สุดโจทก์ต้องวางเงินตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด การที่ศาลชั้นต้นกำหนดนี้เป็นการกระทำตามคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งสั่งตามคำร้องขอของจำเลยที่ร้องขอก่อนศาลชั้นต้นพิพากษานั้นเอง ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน จำเลยทั้งสองไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share