คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1484/2529

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้จัดการเกสท์เฮ้าส์ นำม.ผู้ติดต่อล่อซื้อเฮโรอีนไปเปิดห้องพักในเกสท์เฮ้าส์ เอาเฮโรอีนออกมาจากตู้เสื้อผ้ามาขายให้ ม. จำเลยที่ 1 จึงมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน เมื่อ ม. ไปพบจำเลยที่ 1 ครั้งแรก และเจรจาซื้อขายเฮโรอีนกัน จำเลยที่ 2 ได้ช่วยเจรจาซื้อขายอยู่ด้วยช่วยแนะนำถึงวิธีบรรจุเฮโรอีน เมื่อ ม. ไปติดต่อในครั้งต่อ ๆ มา จำเลยที่ 2 ก็ช่วยแจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 1ไม่อยู่กำลังไปจัดหาเฮโรอีนมาให้ และแจ้งเวลานัดหมายให้มาพบจำเลยที่ 1 ใหม่ ดังนี้ เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายเฮโรอีน จำเลยที่ 2จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66, 67 จำเลยที่ 2มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66ประกอบด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ลงโทษจำเลยที่ 1 ในข้อหาจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ จำคุกตลอดชีวิต ลงโทษจำเลยที่ 2จำคุก 33 ปี 4 เดือน ริบของกลาง คำขออื่นให้ยก ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “ข้อเท็จจริงฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม 2526 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา เจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกากับเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยได้ร่วมกันจับเฮโรอีนจำนวน 4 ห่อ รวมน้ำหนักบริสุทธิ์ 0.551 กิโลกรัม(551 กรัม) ได้ในห้องเลขที่ 002 ของอีเด็นเกสท์เฮ้าส์ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ซึ่งจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของและผู้จัดการ ในการจับกุมดังกล่าวนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จับจำเลยทั้งสองมาดำเนินคดีโดยกล่าวหาว่ามีเฮโรอีนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีนปัญหาวินิจฉัยมีว่า จำเลยทั้งสองได้กระทำความผิดดังโจทก์ฟ้องหรือไม่พิเคราะห์แล้ว ในการจับกุมครั้งนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ดำเนินการมาเป็นขั้นตอน โดยให้นายไมเคิล แมคคลอรี่ เจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกาเป็นผู้ไปติดต่อล่อซื้อจากจำเลยที่ 1โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไทยสะกดรอยติดตามความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิดเริ่มตั้งแต่วันที่ 17 ธันวาคม 2526 นายไมเคิลได้ไปพบจำเลยที่ 1ที่อีเด็นเกสท์เฮ้าส์ โดยนายไมเคิลอ้างว่าตนชื่อนายวิค คาร์เตอร์ น้องชายนายแครรี่ คาร์เตอร์นักค้ายาเสพติดแห่งเมืองลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา จำเลยที่ 1 ตกลงขายเฮโรอีนให้ในราคา 10,000 เหรียญสหรัฐต่อเฮโรอีนหนัก 800 กรัม และนำเอาเฮโรอีนตัวอย่างมาให้ดูอีกด้วยโดยนัดหมายส่งมอบของกันในวันรุ่งขึ้นเวลา 18 นาฬิกา ทั้งจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้แนะนำถึงวิธีการบรรจุเฮโรอีนที่จะนำออกไปจากประเทศไทยเมื่อตกลงกันเรียบร้อยแล้วนายไมเคิลได้แจ้งเรื่องให้ร้อยตำรวจเอกสุพิศาล สดสุ่นกับพวกทราบและวางแผนจับกุม โดยไปยืมเงินจากหน่วยปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกาเป็นจำนวน10,000 เหรียญสหรัฐ เพื่อนำไปล่อซื้อดังปรากฏตามภาพถ่ายธนบัตรเอกสารหมาย จ.7 และในการล่อซื้อนั้นให้นายไมเคิลมีเครื่องอีเล็คโทรนิค ส่งสัญญาณติดตัวไปด้วย เมื่อซื้อได้แล้วก็ให้ส่งสัญญาณให้ร้อยตำรวจเอกสุพิศาลกับพวกทราบ
ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ 18 ธันวาคม 2526 เวลาประมาณ 9 นาฬิกานายไมเคิลได้ไปที่อีเด็นเกสท์เฮ้าส์อีก ทำทีเป็นว่าไปเช่ารถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 2 แจ้งกับนายไมเคิลว่าจำเลยที่ 1ไม่อยู่ ไปบนภูเขาเพื่อจัดหาเฮโรอีนครั้นตอนบ่ายนายไมเคิลเอารถจักรยานยนต์มาส่ง ได้สอบถามจำเลยที่ 2 ว่าเรื่องที่ตกลงกันไว้นั้นเรียบร้อยหรือไม่ จำเลยที่ 2 ยืนยันว่าเรียบร้อยให้มารับของในตอนเย็นเวลา 18 นาฬิกาตามที่นัดกันไว้ นายไมเคิลกลับไปยังโรงแรมที่พัก แจ้งเรื่องให้ร้อยตำรวจเอกสุพิศาลกับพวกทราบเพื่อดำเนินการต่อไป ครั้นเวลาประมาณ 18.30 นาฬิกานายไมเคิลเข้าไปที่อีเด็นเกสท์เฮ้าส์โดยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจซุ่มรออยู่เพื่อทำการจับกุม แต่ไม่พบจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 1เขียนจดหมายฝากจำเลยที่ 2 ไว้แจ้งว่ามีเหตุขัดข้อง ขอให้นายไมเคิลมาพบใหม่ในวันรุ่งขึ้นเวลาเดิม ปรากฏตามเอกสารหมาย จ.1ซึ่งจดหมายฉบับนี้จำเลยที่ 1 ยอมรับอยู่ว่าเป็นจดหมายของตนที่เขียนถึงนายไมเคิลจริง
ครั้นรุ่งขึ้นวันที่ 19 ธันวาคม 2526 เวลาประมาณ 10 นาฬิกานายไมเคิลได้ไปที่อีเด็นเกสท์เฮ้าส์อีก ทำทีเป็นว่าไปเช่ารถจักรยานยนต์ จำเลยที่ 1 ได้โทรศัพท์ติดต่อขอพูดกับนายไมเคิลโดยจำเลยที่ 1 ขอโทษที่ผิดนัดและขอนัดใหม่ โดยจะส่งมอบเฮโรอีนให้ในวันนี้ที่อีเด็นเกสท์เฮ้าส์เวลา 18 นาฬิกาเช่นเดิมนายไมเคิลจึงแจ้งเรื่องให้ร้อยตำรวจเอกสุพิศาลกับพวกทราบและวางแผนเพื่อจับกุมโดยใช้แผนเดิม ครั้นเวลาประมาณ 18 นาฬิการ้อยตำรวจเอกพงศ์พัฒน์จึงปลอมตัวเป็นคนขับรถไปส่งนายไมเคิลที่อีเด็นเกสท์เฮ้าส์ เมื่อนายไมเคิลเข้าไปในอีเด็นเกสท์เฮ้าส์ก็พบจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 1พานายไมเคิลเข้าไปในห้องเลขที่ 002 ซึ่งอยู่ชั้นที่สองนายไมเคิล แมคคลอรี่พยานโจทก์เบิกความยืนยันว่าเมื่อเข้าไปในห้องเลขที่ 002 จำเลยที่ 1 ได้ปิดประตูลงกลอนแล้วเปิดตู้เสื้อผ้า เอาถุงเฮโรอีนของกลางมาวางไว้บนเตียงปรากฏว่ามีเฮโรอีนทั้งหมด 4 ถุงเล็ก จำเลยที่ 1 บอกว่าเป็นเฮโรอีนเบอร์ 4 นายไมเคิลจึงส่งสัญญาณให้ร้อยตำรวจเอกสุพิศาลกับพวกทราบแล้วเข้าทำการจับกุม นอกจากคำของนายไมเคิลดังกล่าวแล้ว โจทก์ยังมีร้อยตำรวจเอกสุพิศาล สดสุ่น ร้อยตำรวจเอกพงศ์พัฒน์ ฉายาพันธ์และร้อยตำรวจเอกประเสริฐ ลิ้มนุสนธ์ เบิกความประกอบคำของนายไมเคิลอยู่อีก โดยพยานดังกล่าวเบิกความรับรองว่าการที่นายไมเคิลไปติดต่อล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 1 นั้นนายไมเคิลได้แจ้งเรื่องให้ร้อยตำรวจเอกสุพิศาลกับพวกทราบทุกระยะโดยเฉพาะร้อยตำรวจเอกสุพิศาล สดสุ่น เบิกความยืนยันว่าเมื่อพยานเข้าไปในอีเด็นเกสท์เฮ้าส์นั้น ปรากฏว่านายไมเคิลกับจำเลยที่ 1 กำลังกอดปล้ำกันอยู่หน้าห้องเลขที่ 002เพราะจำเลยที่ 1 จะหลบหนี คดีไม่มีเหตุอันควรระแวงสงสัยว่าพยานโจทก์ดังกล่าวจะแกล้งเบิกความปรักปรำจำเลย จำเลยที่ 1 นำสืบยอมรับว่าตนเป็นผู้พานายไมเคิลไปเปิดห้องเลขที่ 002 แต่บ่ายเบี่ยงเป็นทำนองว่าเฮโรอีนที่อยู่ในตู้ใส่เสื้อผ้านั้นเป็นของฝรั่งชายหญิง 2 คนที่มาพักในห้องนั้น ซึ่งไม่มีน้ำหนักและเหตุผลให้เชื่อฟังคดีฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 มีเฮโรอีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเฮโรอีน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น ได้ความว่าเมื่อนายไมเคิลพยานโจทก์ไปพบจำเลยที่ 1 ครั้งแรกและเจรจาซื้อขายเฮโรอีนกันนั้น จำเลยที่ 2 ได้ช่วยเจรจาซื้อขายอยู่ด้วย ช่วยแนะนำถึงวิธีบรรจุเฮโรอีนเมื่อนายไมเคิลไปติดต่อในครั้งต่อ ๆ มา จำเลยที่ 2 ก็ช่วยแจ้งให้ทราบว่าจำเลยที่ 1 ไม่อยู่กำลังไปจัดหาเฮโรอีนมาให้และแจ้งเวลานัดหมายให้มาพบจำเลยที่ 1 ใหม่เมื่อนั่นเมื่อนี้ซึ่งการกระทำของจำเลยที่ 2 ดังกล่าว ถือได้ว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกในการที่จำเลยที่ 1 จำหน่ายเฮโรอีน จำเลยที่ 2จึงเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share