คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 677/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยที่1กับจำเลยคนอื่นร่วมกันจับตัวผู้เสียหายไปเพื่อเรียกค่าไถ่ขณะที่บุตรชายของผู้เสียหายนำเงินค่าไถ่ไปให้จำเลยที่1มีจำเลยที่2และจำเลยที่4ซึ่งเป็นภรรยาของจำเลยที่1กับพวกอีก3คนอยู่ในที่นั้นด้วยจำเลยที่4พูดกับบุตรชายของผู้เสียหายว่า”เขาเอาเท่าไหร่ก็ให้เขาไปเสียจะได้หมดเวรหมดกรรมกัน”พฤติการณ์ของจำเลยที่4เป็นการช่วยพูดให้บุตรชายผู้เสียหายหาเงินค่าไถ่มาให้ตามที่พวกจำเลยเรียกร้องเข้าลักษณะความผิดฐานกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินจากผู้ที่จะให้ค่าไถ่มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำความผิดดังกล่าวเท่านั้น.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกกับพวกฐานปล้นทรัพย์ กับฐานร่วมกันใช้อาวุธปืนจี้บังคับขู่เข็ญและยิงปืนขู่ ข่มขืนใจ นายสมัครนวลชม กับ นายสมควร นวลชม ผู้เสียหายให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายแก่ชีวิตแล้ว ร่วมกันจับตัวผู้เสียหายไปหน่วงเหนี่ยวกักขังเพื่อประสงค์จะได้มาซึ่งค่าไถ่ โดยสำหรับจำเลยที่ 4 ขอให้ลงโทษฐานกระทำการเป็นคนกลาง โดยเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อย่างใดที่มิควรได้จากผู้อื่นที่จะให้ค่าไถ่ โดยเรียกค่าไถ่ตัวนายสมัครผู้เสียหายเป็นเงิน 200,000 บาท จากนายนิคมอันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 313, 315, 340, 340 ตรี, 91, 83, 33ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2,11, 14, 15 และขอให้ริบของกลาง
จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ ขอถอนคำให้การเดิม และให้การใหม่รับสารภาพตามฟ้อง เว้นแต่ข้อหาปล้นทรัพย์คงปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นสั่งให้รวมพิจารณากับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1318/2524ของศาลจังหวัดเพชรบูรณ์ โดยให้เรียกนายคนองหรือกลม เพชรบูรณินจำเลยในคดีดังกล่าวว่าจำเลยที่ 7 นายสมัคร นวลชม ผู้เสียหายขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม ศาลอนุญาตและพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 5ที่ 6 และที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 310, 313 แต่การกระทำของจำเลยดังกล่าวว่าเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบทให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 ซึ่งเป็นบทหนัก ประกอบมาตรา 316วางโทษจำคุกคนละ 18 ปี คำให้การชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนของจำเลยมีประโยชน์แก่การพิจารณาลดโทษให้ 1 ใน 6 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา78 คงจำคุกคนละ 15 ปี จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 315 ประกอบมาตรา 316 วางโทษจำคุก 10 ปี
จำเลยที่ 4, ที่ 5 และที่ 6 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 4 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 315 ประกอบมาตรา 316 และมาตรา 86 จำคุก6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 5 ที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่22 มีนาคม 2524 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา โจทก์ร่วมถูกคนร้ายหลายคนใช้อาวุธปืนจี้ขู่เข็ญบังคับจับตัวไปหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่ จนกกระทั่งวันที่ 11 เมษายน 2524 บุตรของโจทก์ร่วมนำเงินค่าไถ่จำนวน 200,000 บาท ไปมอบให้แก่คนร้าย คนร้ายจึงปล่อยโจทก์ร่วม ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยที่4 กระทำการเป็นคนกลางเรียกหรือรับค่าไถ่ดังโจทก์ฟ้อง หรือเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำผิดดังกล่าว และตามฎีกาของจำเลยมีว่า จำเลยที่ 5 และจำเลยที่ 6 ร่วมเป็นคนร้ายจับโจทก์ร่วมไปเรียกค่าไถ่และหน่วงเหนี่ยวกักขังไว้หรือไม่
สำหรับจำเลยที่ 4 ข้อเท็จจริงได้ความจากคำเบิกความนายนิคมนวลชม พยานโจทก์ ซึ่งเป็นบุตรโจทก์ร่วมว่า ในวันที่ 11 เมษายน 2524เวลา 11 นาฬิกา นายนิคมกับนายสนับได้เดินทางไปที่บริษัทขนส่งลำนารายณ์ ตามที่จำเลยที่ 5 นัดให้นำเงินค่าไถ่ไปให้ ได้พบจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 5 กับคนร้ายอีก 3 คน นายนิคมบอกว่ามีเงินไม่ถึง500,000 บาท จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 5 ไม่ตกลง จำเลยที่ 5 ให้นายนิคมนั่งรถจักรยานยนต์ ซึ่งจำเลยที่ 7 เป็นคนขับไปที่ร้านอาหารข้างธนาคารกสิกรไทย นายนิคมบอกว่ามีเงินเพียง 200,000 บาท จำเลยที่ 5 ตกลงเอาตามนั้น นายนิคมจึงให้นายสนับกลับไปเอาเงินที่บ้านจากนั้นจำเลยที่ 5 ให้นายนิคมกับจำเลยที่ 3 นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ซึ่งจำเลยที่ 5 ขับ โดยว่าจะพาไปหาโจทก์ร่วมในป่า แต่ไปได้ประมาณ 5 กิโลเมตรยางรถรั่ว จำเลยที่ 5 จึงขับรถย้อนกลับไปทางลำนารายณ์ ส่วนจำเลยที่ 3 กับนายนิคมนั่งรถไปที่พุเตย ได้พบจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 4 กับพวกอีก 3 คน จำเลยที่ 4 ถามนายนิคมว่า เป็นลูกชายคนที่ถูกจับไปใช่ไหม นายนิคมตอบว่า ใช่ จำเลยที่ 4 ก็ว่า เขาเอาเท่าไหร่ ก็ให้เขาไปเสียจะได้หมดเวรหมดกรรมกันต่อมานายสนับขับรถยนต์ไปถึง หลังจากนั้นนายนิคมก็มอบเงิน 200,000บาท ให้แก่จำเลยที่ 1 พฤติการณ์ของจำเลยที่ 4 ดังกล่าว เห็นได้ว่าจำเลยที่ 4 ต้องรู้เห็นในการที่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 4 กับพวกคนร้ายได้ร่วมกันจับตัวโจทก์ร่วมไปเรียกค่าไถ่ ที่จำเลยที่ 4 พูดกับนายนิคมบุตรโจทก์ร่วมดังกล่าวถือได้ว่าเป็นการช่วยพูดสนับสนุนให้นายนิคมหาเงินค่าไถ่มาให้ตามที่คนร้ายเรียกร้องการกระทำของจำเลยที่ 4 เข้าลักษณะกระทำการเป็นคนกลางเรียกทรัพย์สินอันมิควรได้จากผู้ที่จะให้ค่าไถ่ดังโจทก์ฟ้อง มิใช่เป็นเพียงผู้สนับสนุนการกระทำผิดดังศาลอุทธรณ์วินิจฉัย…
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีเฉพาะจำเลยที่ 4 ไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.”

Share