คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 14808/2558

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

คำฟ้องโจทก์ที่มีคำขอให้ขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์ที่ให้เช่าของโจทก์ ไม่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของจำเลยซึ่งถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่จะต่อสู้คดีได้โดยลำพัง แต่ในส่วนคำฟ้องที่มีคำขอให้ชดใช้ค่าเสียหายเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สิน เป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าว่าคดีแทนจำเลย ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 25 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องไม่ขอเข้าดำเนินคดี โดยเห็นว่าค่าเสียหายเป็นสิทธิเรียกร้องที่มีมูลหนี้เกิดขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด ต้องห้ามมิให้รับชำระหนี้ตามมาตรา 24 เป็นเพียงความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เมื่อศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา จึงถือได้ว่าไม่ติดใจคัดค้าน การที่จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีเองเฉพาะส่วนฟ้องขับไล่ และอนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีได้ โดยมิได้สั่งงดพิจารณาคดีหรือจำหน่ายคดีในส่วนค่าเสียหาย ถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีในส่วนนี้แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา จำเลยอุทธรณ์ได้เฉพาะที่พิพากษาให้ขับไล่จำเลย ไม่มีสิทธิอุทธรณ์ส่วนที่ให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาดังกล่าว จึงชอบแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารกับส่งมอบการครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1800, 1801, 8010, 8133 และ 16030 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนแก่โจทก์ และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย คำนวณถึงวันฟ้องเป็นเงิน 2,720,000 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 160,000 บาท นับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น จำเลยถูกฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2552 ตามคดีล้มละลายหมายเลขแดงที่ ล.5873/2552 ศาลชั้นต้นหมายเรียกเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยมาเป็นคู่ความแทนจำเลย เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แถลงไม่ประสงค์เข้าดำเนินคดีแทนจำเลย
ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายเอกราช ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์อ้างว่า เป็นผู้ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 1800, 1801, 8010, 8133 และ 16030 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พร้อมสิ่งปลูกสร้างจากโจทก์ตั้งแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้ขับไล่จำเลยและบริวารและให้จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1800, 1801, 8010, 8133 และ 16030 ตำบลในเมือง อำเภอเมืองขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น พร้อมสิ่งปลูกสร้างคืนแก่โจทก์ร่วม กับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ในอัตราเดือนละ 100,000 บาท นับแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2550 จนถึงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2554 และชำระค่าเสียหายในอัตราเดียวกันให้แก่โจทก์ร่วมนับแต่วันที่ 25 พฤศจิกายน 2554 เป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวคืนแก่โจทก์ร่วม สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาล
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย จำเลยได้รับอนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นอุทธรณ์จึงไม่มีค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ที่จะต้องคืนให้ ค่าฤชาธรรมเนียมนอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยมีสิทธิยื่นอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาให้ขับไล่จำเลยและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์เป็นผู้ให้เช่าฟ้องขับไล่จำเลยผู้เช่าให้ออกจากทรัพย์ที่ให้เช่าและเรียกค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่า สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าการเช่าธรรมดา จำเลยเช่าทรัพย์พิพาทได้เพียง 5 ปี โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อปรากฏว่าในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้นจำเลยถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดอำนาจในการต่อสู้คดีใด ๆ เกี่ยวกับทรัพย์สินของจำเลยย่อมตกอยู่แก่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์แต่เพียงผู้เดียว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 22 (3) คำฟ้องในส่วนที่โจทก์มีคำขอให้ขับไล่จำเลยออกจากทรัพย์ที่ให้เช่าซึ่งเป็นทรัพย์สินของโจทก์เอง เป็นคดีที่ไม่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของจำเลย จึงเป็นเรื่องเฉพาะตัวของจำเลยที่จะต่อสู้คดีในส่วนนี้ได้โดยลำพัง แต่ตามคำฟ้องโจทก์ในส่วนที่มีคำขอให้ชดใช้ค่าเสียหายมาด้วยนั้น เป็นคดีที่เกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินของจำเลย จึงเป็นอำนาจของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่จะเข้าว่าคดีตามคำขอส่วนนี้แทนจำเลย ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 25 การที่เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นว่า ไม่ขอเข้าดำเนินคดีโดยเห็นว่าส่วนในเรื่องค่าเสียหายเป็นสิทธิเรียกร้องที่มีมูลหนี้เกิดขึ้นภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด จึงต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ตาม มาตรา 24 นั้น ก็เป็นเพียงความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เท่านั้น เมื่อศาลชั้นต้นเพียงแต่สั่งว่า เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ทราบนัดโดยชอบแล้วไม่มา จึงถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไม่ติดใจคัดค้านการที่จำเลยยื่นคำร้องขอดำเนินคดีเองเฉพาะในส่วนที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย และอนุญาตให้จำเลยดำเนินคดีเฉพาะในส่วนที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยด้วยตนเองได้ โดยไม่ได้สั่งงดการพิจารณาคดีหรือจำหน่ายคดีในส่วนค่าเสียหายแต่อย่างไร ถือได้ว่าเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เข้ามาดำเนินคดีแทนจำเลยในส่วนนี้แล้ว เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ขับไล่จำเลย และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยย่อมมีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นได้เฉพาะที่พิพากษาให้ขับไล่จำเลยเท่านั้น ส่วนที่พิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องค่าเสียหายจึงชอบแล้ว แต่ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 ไม่รับวินิจฉัยปัญหาเรื่องขับไล่จำเลยด้วยนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้ ให้ยกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 4 ที่ยกอุทธรณ์ของจำเลยในส่วนที่โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย และย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีคำพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้รวมสั่งเมื่อคดีมีคำพิพากษาใหม่ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

Share