คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6883/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 16 ให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา มาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาคดีโดยอนุโลมด้วย การพิจารณาคำร้องขอเลื่อนคดีจึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 40 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ว่ามีเหตุจำเป็นและสมควรอนุญาตให้เลื่อนคดีหรือไม่
ในวันนัดไต่สวนคำร้องของผู้ร้อง ทนายความของผู้ร้องมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าผู้ร้องป่วยไม่สามารถมาศาลได้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วอนุญาต แต่เมื่อถึงวันนัดที่เลื่อนไป ทนายความของผู้ร้องมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี อ้างเหตุว่าผู้ร้องป่วยไม่สามารถเดินได้และระบุในคำร้องว่าหากนัดต่อไปผู้ร้องยังมีอาการป่วยมาศาลไม่ได้ก็จะขอถอนคำร้อง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนไปนัดไต่สวนคำร้องและกำชับให้ผู้ร้องนำพยานมาสืบในนัดหน้า แต่เมื่อถึงวันนัดทนายความของผู้ร้องกลับยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีก อ้างว่าผู้ร้องป่วยเนื่องจากกระดูกต้นคองอกทับเส้นประสาทพึ่งได้รับการผ่าตัด มีอาการมึนงงไม่สามารถตอบคำถามได้และไม่สามารถลุกนั่งได้ด้วยตนเอง และรับรองว่าหากนัดต่อไปผู้ร้องยังไม่สามารถมาศาลได้ขอให้ถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบและยกคำร้องของผู้ร้องเสีย ศาลชั้นต้นอนุญาต เมื่อรวมระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีเป็นเวลาถึง 6 เดือนเศษ การที่ผู้ร้องกลับยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุผลอย่างเดิมอีก พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมิได้ให้ความสนใจต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล จึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดีตามที่ร้องขอ
กระบวนพิจารณาในชั้นไต่สวนคำร้องของผู้ร้องว่ามีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่หรือไม่ พระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526มาตรา 9 วรรคสาม บัญญัติไว้ชัดเจนว่า เมื่อได้ไต่สวนคำร้องแล้ว ให้ศาลที่ไต่สวนคำร้องส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมทั้งความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์โดยไม่ชักช้า ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องได้
พระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ฯ มาตรา 13(2) ใช้บังคับสำหรับในชั้นพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ บทบัญญัติดังกล่าวหาได้นำมาใช้ในชั้นไต่สวนคำร้องว่าคดีมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ด้วยไม่

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลฎีกาพิพากษาว่า ผู้ร้องมีความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108 ทวิ วรรคสอง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3)ประกอบมาตรา 362, 83 การกระทำของผู้ร้องเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(3) ประกอบมาตรา 362, 83 ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 3 เดือน และปรับ2,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ให้ผู้ร้อง คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารออกไปจากที่ดินที่ยึดถือครอบครอง

ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า หลังจากศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว ผู้ร้องพบพยานบุคคลและพยานเอกสารอันเป็นพยานหลักฐานใหม่ว่าที่ราชพัสดุ หมายเลขทะเบียน ภก.110โฉนดเลขที่ 11197 ตำบลตลาดใหญ่ อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ซึ่งเป็นของกระทรวงการคลัง ที่สถานีขนส่งจังหวัดภูเก็ต กรมการขนส่งทางบก กระทรวงคมนาคมครอบครองและใช้ประโยชน์มิได้มีอาณาเขตติดต่อกับที่ดินโฉนดเลขที่ 122 ตำบลตลาดใหญ่ (บางเหนียว) อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ของนายเจียร วานิช โดยผู้ร้องมีนายประยุทธ อศิรชัย ช่างรังวัดผู้ทำการรังวัดแนวเขตที่ดินทั้งสองแปลงและนายดิลกถาวรว่องวงศ์ ผู้ยกที่ดินให้แก่กระทรวงการคลังเป็นพยานหลักฐานใหม่อันชัดแจ้งและสำคัญแก่คดีซึ่งถ้าได้นำมาสืบในคดีนี้แล้วจะแสดงให้เห็นว่าที่ดินที่ผู้ร้องครอบครองอยู่นอกเขตที่ราชพัสดุหมายเลขทะเบียน ภก.110 และผู้ร้องมิได้กระทำความผิดตามฟ้อง

ระหว่างนัดไต่สวนคำร้อง ผู้ร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุเจ็บป่วยรวม 4 ครั้งในการขอเลื่อนคดีครั้งสุดท้ายศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วเห็นว่า ตามคำร้องขอเลื่อนคดีครั้งที่ 3 ของผู้ร้องมีข้อความรับรองว่าหากนัดต่อไปผู้ร้องไม่สามารถมาศาลได้ขอให้ถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบให้ศาลยกคำร้องของผู้ร้องได้ เมื่อผู้ร้องไม่มาเบิกความต่อศาลจึงถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบ แล้วมีคำสั่งยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น และให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องในข้อแรกว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยว่า คำร้องขอเลื่อนคดีลงวันที่ 19 ตุลาคม 2541 ของผู้ร้องเป็นการประวิงคดี เป็นการใช้ดุลพินิจที่เหมาะสมชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณาความหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526มาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้ศาลที่ได้รับคำร้องขอให้รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ ตามมาตรา 8 ทำการไต่สวนคำร้องนั้นว่ามีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาพิพากษาใหม่หรือไม่โดยมาตรา 16 แห่งพระราชบัญญัติฉบับนี้ ให้นำบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง กฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีเด็กและเยาวชนและกฎหมายว่าด้วยธรรมนูญศาลทหารมาใช้บังคับแก่การพิจารณาพิพากษาคดีตามพระราชบัญญัตินี้โดยอนุโลม ดังนั้น การพิจารณาว่า คำร้องขอเลื่อนคดีของผู้ร้องมีเหตุจำเป็นและสมควรอนุญาตหรือไม่ จึงต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ในมาตรา 40 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ประกอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า ศาลชั้นต้นนัดไต่สวนคำร้องของผู้ร้องนัดแรกในวันที่ 30 มีนาคม 2541 ครั้นถึงวันนัดไต่สวน ทนายความของผู้ร้องมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอ้างว่าผู้ร้องป่วยไม่สามารถมาศาลได้ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วอนุญาตให้เลื่อนไปนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 19 มิถุนายน2541 แต่เมื่อถึงวันนัดทนายความของผู้ร้องมอบฉันทะให้เสมียนทนายมายื่นคำร้องขอเลื่อนคดี อ้างเหตุว่าผู้ร้องป่วยไม่สามารถเดินได้ และระบุในคำร้องว่าหากนัดต่อไปผู้ร้องยังมีอาการป่วยมาศาลไม่ได้ก็จะขอถอนคำร้องเสีย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้เลื่อนไปนัดไต่สวนคำร้องวันที่ 26 สิงหาคม 2541 และกำชับให้ผู้ร้องนำพยานมาสืบในนัดหน้า แต่เมื่อถึงวันนัดทนายความของผู้ร้องกลับยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีอีก อ้างว่าผู้ร้องป่วยเนื่องจากกระดูกต้นคองอกทับเส้นประสาทเพิ่งได้รับการผ่าตัด มีอาการมึนงงไม่สามารถตอบคำถามได้และไม่สามารถลุกนั่งได้ด้วยตนเอง และรับรองว่าหากนัดต่อไปผู้ร้องยังไม่สามารถมาศาลได้ ขอให้ถือว่าผู้ร้องไม่มีพยานมาสืบและยกคำร้องของผู้ร้องเสียศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วอนุญาตให้เลื่อนไปนัดไต่สวนในวันที่ 19 ตุลาคม 2541 รวมระยะเวลาที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เลื่อนคดีเป็นเวลาถึง 6 เดือนเศษ นับได้ว่าศาลชั้นต้นได้ใช้ดุลพินิจอนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดีโดยให้โอกาสแก่ผู้ร้องอย่างมากแล้ว แต่ในวันที่ 19ตุลาคม 2541 อันเป็นวันนัดไต่สวนคำร้องนัดที่ 4 ผู้ร้องกลับยื่นคำร้องขอเลื่อนคดีโดยอ้างเหตุผลอย่างเดิมอีก พฤติการณ์แห่งคดีแสดงให้เห็นว่าผู้ร้องมิได้ให้ความสนใจต่อการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาล จึงไม่มีเหตุสมควรอนุญาตให้ผู้ร้องเลื่อนคดีตามที่ร้องขอ ที่ศาลล่างทั้งสองเห็นว่าผู้ร้องจงใจประวิงคดีให้เนิ่นช้าและไม่อนุญาตให้เลื่อนคดีชอบแล้ว

ที่ผู้ร้องฎีกาเป็นประการสุดท้ายว่า คดีเดิมถึงที่สุดโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาเมื่อศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วต้องทำความเห็นและส่งสำนวนไปยังศาลฎีกาตามพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 13(2)ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ไม่มีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องนั้น เห็นว่า กระบวนพิจารณาในชั้นนี้เป็นการไต่สวนคำร้องของผู้ร้องว่ามีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่หรือไม่ ซึ่งพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 มาตรา 9 วรรคสามบัญญัติไว้ชัดเจนว่า “เมื่อได้ไต่สวนคำร้องแล้ว ให้ศาลที่ไต่สวนคำร้องส่งสำนวนการไต่สวนพร้อมทั้งความเห็นไปยังศาลอุทธรณ์โดยไม่ชักช้า” ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จึงมีอำนาจวินิจฉัยคำร้องของผู้ร้องได้ ที่ผู้ร้องฎีกาว่า คดีเดิมถึงที่สุดโดยคำพิพากษาของศาลฎีกาศาลชั้นต้นต้องทำความเห็นและส่งสำนวนไปให้ศาลฎีกาพิจารณา ตามมาตรา 13(2)แห่งพระราชบัญญัติการรื้อฟื้นคดีอาญาขึ้นพิจารณาใหม่ พ.ศ. 2526 นั้น เห็นว่า บทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นใช้บังคับสำหรับในชั้นพิจารณาคดีที่รื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่หาได้นำมาใช้ในชั้นไต่สวนคำร้องว่าคดีมีมูลพอที่จะรื้อฟื้นคดีขึ้นพิจารณาใหม่ด้วยไม่ดังนั้น ที่ศาลชั้นต้นทำความเห็นและส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิจารณาจึงชอบแล้ว

พิพากษายืน

Share