คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 148/2539

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ใบไต่สวนเป็นหนังสือซึ่งเจ้าพนักงานออกให้เพื่อแสดงว่าเจ้าของที่ดินได้นำรังวัดเพื่อออกโฉนด ไม่ใช่เอกสารสำคัญที่แสดงว่าผู้มีชื่อในใบไต่สวนเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเมื่อโจทก์ครอบครองที่ดินซึ่งมีใบไต่สวนโดยเจตนายึดถือเพื่อตนเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองจากเจ้าของเดิมโดยเด็ดขาด

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า นายจีนเซียว เป็นเจ้าของที่ดินตามใบไต่สวนเล่ม 2 หน้า 81139 หรือ 139 ที่ดินระวางที่ 4 ต 2 ฎ เลขที่131 จำนวน 1 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวา ต่อมาได้โอนตกทอดเป็นสิทธิครอบครองของนางนันทา หัตถกิจ โดยเข้าครอบครองและทำประโยชน์ในที่ดิน ติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2506 จนถึง 2532โดยไม่มีผู้ใดโต้แย้ง เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2531 นางนันทาขายให้แก่โจทก์ในราคา 90,000 บาท โดยส่งมอบสิทธิครอบครองให้แก่โจทก์ทั้งแปลง โจทก์ได้ครอบครองทำประโยชน์ และได้ปลูกบ้านเพื่ออยู่อาศัย เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2535 จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นหลานของนายจีนเซียว ได้บุกรุกเข้าไปรบกวนสิทธิการครอบครองที่ดินของโจทก์เป็นเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ราคา 100,000 บาท จึงขอให้ศาลพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองในที่ดินมือเปล่าจำนวน 1 ไร่
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ยังครอบครองไม่เกิน 10 ปีจึงไม่มีสิทธิในที่พิพาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์และจำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า โจทก์มีสิทธิในที่พิพาทประมาณ 1 ไร่ ของที่ดินตามใบไต่สวนเล่มที่ 2 หน้า 139เลขที่ 131 ตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ดีกว่าจำเลยทั้งสอง และให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้มีราคาทรัพย์สินหรือจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาไม่เกินสองแสนบาท ห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง และในการวินิจฉัยข้อกฎหมายศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ได้วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 238 ประกอบด้วยมาตรา 247 ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ข้อเท็จจริงมาว่า ที่พิพาทประมาณ 1 ไร่ เป็นส่วนหนึ่งของที่ดินตามใบไต่สวนเล่ม 2 หน้า 139 เลขที่ 131 ตำบลฉลอง อำเภอเมืองภูเก็ตจังหวัดภูเก็ต เนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 12 ตารางวา เดิมเป็นของนายจีนเซียว บิดาจำเลยที่ 1 ซึ่งถึงแก่กรรมไปแล้วนางนันทา หัตถกิจ ซื้อที่ดินแปลงนี้มาจากนายไข่บุตรของนายจีนเซียว อีกคนหนึ่ง แล้วนางนันทาขายที่พิพาทให้แก่โจทก์เมื่อโจทก์ซื้อที่ดินของนางนันทาแล้วได้เข้าครอบครองที่พิพาทโดยเจตนาจะยึดถือเพื่อตนตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2531ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองข้อแรกมีว่า ที่พิพาทมีหลักฐานตามใบไต่สวน การที่โจทก์ครอบครองที่ดินพิพาทโจทก์จะต้องครอบครองเกินกว่า 10 ปี จึงจะได้สิทธิในที่ดินด้วยการครอบครองหรือไม่ เห็นว่า ใบไต่สวนเป็นหนังสือซึ่งเจ้าพนักงานออกเพื่อให้แสดงว่าเจ้าของที่ดินได้นำรังวัดเพื่อออกโฉนดแต่ใบไต่สวนตามประมวลกฎหมายที่ดินไม่ใช่เอกสารสำคัญที่แสดงว่าผู้มีชื่อในใบไต่สวนเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินนั้น เมื่อโจทก์ครอบครองที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินที่มีใบไต่สวนโดยเจตนายึดถือเพื่อตนตั้งแต่วันที่ 21 เมษายน 2531 จนถึงวันที่ 7 เมษายน 2535เป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี โจทก์ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครองจากเจ้าของเดิมโดยเด็ดขาดแล้ว
ที่จำเลยทั้งสองฎีกาอีกข้อหนึ่งว่า ฟ้องโจทก์คดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 103/2535 ของศาลชั้นต้นนั้นเห็นว่าคดีดังกล่าวโจทก์ฟ้องบุคคลอื่นเป็นจำเลย คู่ความในคดีนี้และคดีก่อนมิใช่คู่ความเดียวกัน ฟ้องโจทก์คดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำฎีกาของจำเลยทั้งสองทุกข้อฟังไม่ขึ้น
อนึ่งที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองและให้คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสองทั้งหมดนั้นปรากฎว่าแม้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 จะไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ส่วนที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1แต่ก็ได้วินิจฉัยในข้อกฎหมายที่จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 103/2535 ของศาลชั้นต้นหรือไม่ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการไม่ชอบ”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3ในส่วนที่ให้ยกอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง คืนค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์ให้แก่จำเลยทั้งสองทั้งหมดนั้นเสีย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3

Share