คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 147/2532

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยผู้ให้เช่าซื้อไปยึดรถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์โดยโจทก์ผู้เช่าซื้อไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนัดและสัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกันจำเลยจึงตกเป็นฝ่ายผิดสัญญา เมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลยแล้วโจทก์จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทโดยไม่มีตัวถัง โจทก์ผู้เช่าซื้อเป็นผู้ว่าจ้างให้ต่อตัวถังขึ้น กรณีจึงเป็นการเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้าด้วยกันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ ตัวรถยนต์ของจำเลยถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน จำเลยจึงเป็นเจ้าของทรัพย์ประธานที่รวมเข้าด้วยกันแต่ผู้เดียว แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่น ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้น ๆ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1316 วรรคสอง เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการต่อตัวถังรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์พิพาทให้จำเลยเพียง 5 งวด แต่โจทก์ใช้รถยนต์พิพาทตั้งแต่ต่อตัวถังเสร็จจนถึงวันที่จำเลยไปยึดรถยนต์พิพาทคืนมา เป็นเวลาอย่างน้อย 17 เดือน โจทก์จึงใช้รถยนต์พิพาทเพื่อประโยชน์ของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 12 เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ซึ่งมีค่าเช่าซื้อรวมอยู่ด้วยนับแต่วันที่รถยนต์พิพาทถูกยึดถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อเป็นเวลา 22 เดือนเศษแล้วโจทก์จึงได้รับประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทโดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อมากกว่าค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์พึงได้รับ โจทก์จะเรียกให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายกรณีที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทอีกไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2522 โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อฮีโนแบบ เค เอ็ม 310 จากจำเลยในอัตราค่าเช่าซื้อเดือนละ 8,247 บาท รวม 30 เดือน เป็นเงินทั้งสิ้น 247,410 บาทรถยนต์ที่โจทก์เช่าซื้อมีเฉพาะหัวรถและแชชซี ตัวถังรถโจทก์ต้องดำเนินการต่อเอง เสียค่าใช้จ่าย 60,000 บาท โจทก์ได้ชำระค่าเช่าซื้อรถยนต์ให้แก่จำเลยจำนวน 5 งวด เป็นเงิน 41,235 บาท แต่โจทก์ได้ใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาทเพียง 2 เดือน เนื่องจากจำเลยไม่ส่งมอบสำเนาทะเบียนรถยนต์ ป้ายทะเบียนประจำรถยนต์ ป้ายวงกลมติดหน้ารถยนต์ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่สามารถใช้รถยนต์พิพาทได้ โจทก์ทวงถาม จำเลยขอผัดผ่อน ต่อมาเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2524จำเลยได้ยึดรถยนต์พิพาทคืนไปจากโจทก์และฟ้องโจทก์เมื่อวันที่8 ธันวาคม 2524 ศาลพิพากษายกฟ้อง โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเรียกเงินค่าเช่าซื้อจากจำเลยคืนเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2526 จำเลยทราบแล้วไม่ปฏิบัติตาม การที่จำเลยไม่ปฏิบัติตามสัญญาทำให้โจทก์ไม่สามารถใช้ประโยชน์รถยนต์พิพาทได้ โจทก์ได้รับความเสียหายขอให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ 603,800 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 593,235 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ได้ติดต่อซื้อรถยนต์พิพาทจากบริษัทนิวแมน จำกัด โจทก์มีเงินไม่พอบริษัทนิวแมน จำกัด จึงขายรถยนต์พิพาทให้จำเลยและโจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทไปจากจำเลย รถยนต์พิพาทที่โจทก์ติดต่อซื้อจากบริษัทนิวแมน จำกัด โจทก์มีหน้าที่ต้องต่อตัวถังรถเอง เมื่อโจทก์ต่อตัวถังเสร็จ ตัวถังรถตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยทันทีตามสัญญาเช่าซื้อโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องราคาจำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในหนี้ค่าต่อตัวถังรถ รถยนต์พิพาทต้องต่อตัวถังและนำไปตรวจสภาพเพื่อจดทะเบียน จำเลยไม่มีหน้าที่จดทะเบียนรถยนต์ขนส่งให้โจทก์โจทก์ตกลงให้บริษัทนิวแมน จำกัด เป็นผู้ดำเนินการจดทะเบียนให้แต่โจทก์ไม่ยอมชำระค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนรถยนต์ขนส่งบริษัทนิวแมน จำกัด จึงไม่ดำเนินการให้ จำเลยไม่เคยรับเงินค่าธรรมเนียมจากโจทก์ โจทก์ใช้รถยนต์พิพาทตลอดเวลาโดยไม่ได้ทวงถามเรื่องทะเบียนจากจำเลย จำเลยได้ติดตามทวงถามค่าเช่าซื้อจากโจทก์ โจทก์ได้ขอผัดผ่อนการชำระค่าเช่าซื้อและมีการขอเปลี่ยนอัตราและระยะเวลาการเช่าซื้อ 1 ครั้งต่อมาโจทก์ผิดนัดจึงมอบรถยนต์พิพาทคืนจำเลย คดีหมายเลขแดงที่1399/2526 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยยังไม่เลิกกัน จำเลยไม่เป็นฝ่ายผิดสัญญาจำเลยขอถือเอาคำให้การนี้เป็นการบอกเลิกสัญญากับโจทก์โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าเสียหายทั้งโจทก์ได้ใช้รถยนต์พิพาทตลอดเวลาที่อยู่ในความครอบครองของโจทก์และนับแต่โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อกับจำเลย เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2522 ถึงวันที่จำเลยได้รับรถยนต์พิพาทคืนเป็นเวลา 19 เดือน 24 วัน โจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยเพียง 5 เดือน โจทก์ใช้รถยนต์พิพาทมาโดยตลอด ทำให้รถยนต์พิพาทได้รับความเสียหายเสื่อมสภาพเกินกว่าการใช้งานตามปกติ จำเลยเสียหายขอให้ศาลพิพากษายกฟ้องโจทก์ให้โจทก์ใช้ค่าเสียหายแก่จำเลยจำนวน196,312 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ในต้นเงิน150,000 บาท นับแต่วันให้การและฟ้องแย้งจนกว่าโจทก์จะชำระเสร็จโจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยเป็นฝ่ายผิดนัดผิดสัญญาไม่ดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องทะเบียนให้โจทก์ โจทก์ได้รับความเสียหาย ไม่สามารถใช้รถยนต์พิพาทได้ที่จำเลยอ้างว่าไม่ใช่หน้าที่ของจำเลย เป็นเรื่องของบริษัทนิวแมน จำกัดไม่เป็นความจริง เพราะบริษัทนิวแมน จำกัดได้โอนกรรมสิทธิ์รถยนต์พิพาทให้จำเลยแล้ว จำเลยไม่ได้เสียหาย ขอให้ยกฟ้องแย้ง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 92,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ คำขออื่นของโจทก์นอกจากนี้ให้ยกเสีย และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 46,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นโจทก์และจำเลยต่างฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อเอกสารหมายล.3 เพื่อใช้ขนส่งน้ำดื่ม โจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการต่อตัวถังรถยนต์พิพาทโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อแก่จำเลย 5 งวด เป็นเงินจำนวน41,235 บาท จำเลยได้รถยนต์พิพาทคืนเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2524โจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนัด และสัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกันต่อมาเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2526 โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับจำเลย มีปัญหามาสู่การวินิจฉัยของศาลฎีกาว่า โจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการต่อตัวถังรถยนต์พิพาทหรือไม่ จำนวนเท่าใด และโจทก์มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทหรือไม่
พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่ว่าโจทก์มีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระค่าใช้จ่ายในการต่อตัวถังรถยนต์พิพาทหรือไม่ จำนวนเท่าใดนั้นได้ความว่าพนักงานของจำเลยได้ไปติดตามเอารถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์แต่วันที่พนักงานจำเลยได้รถยนต์พิพาทคืนนั้น กรรมการผู้จัดการบริษัทโจทก์ไม่อยู่นายสุรพล จำปีทอง เป็นผู้ลงชื่อมอบรถยนต์พิพาทให้พนักงานของจำเลยเห็นว่านายสุรพลไม่มีอำนาจกระทำการแทนโจทก์ได้ กรณีถือไม่ได้ว่าโจทก์ได้มอบรถยนต์พิพาทคืนให้จำเลย และคดีนี้ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าโจทก์ไม่ได้เป็นฝ่ายผิดนัดและสัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกัน การที่จำเลยไปยึดรถยนต์พิพาทคืนจากโจทก์จำเลยจึงต้องตกเป็นฝ่ายผิดสัญญาเมื่อโจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อกับโจทก์แล้ว โจทก์จำเลยจึงต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม ทั้งคดีนี้ได้ความว่าจำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาทโดยไม่มีตัวถัง โจทก์เป็นผู้ว่าจ้างให้ต่อตัวถังขึ้น กรณีจึงเป็นการเอาสังหาริมทรัพย์ของบุคคลหลายคนมารวมเข้าด้วยกันจนเป็นส่วนควบหรือแบ่งแยกไม่ได้ตัวรถยนต์ของจำเลยถือได้ว่าเป็นทรัพย์ประธาน จำเลยซึ่งเป็นเจ้าของทรัพย์ประธานจึงเป็นเจ้าของทรัพย์ที่รวมเข้าด้วยกันแต่ผู้เดียว แต่ต้องใช้ค่าแห่งทรัพย์อื่น ๆ ให้แก่เจ้าของทรัพย์นั้น ๆตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1316 วรรคสอง จำเลยหาอาจอ้างสัญญาเช่าซื้อข้อ 14 มาบังคับหาได้ไม่ เพราะจำเลยเป็นฝ่ายปฏิบัติผิดสัญญา จำเลยจึงต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการต่อตัวถังรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ สำหรับค่าใช้จ่ายในการต่อตัวถังรถยนต์พิพาทโจทก์ยืนยันว่าโจทก์เสียค่าใช้จ่ายในการต่อตัวถังรถยนต์พิพาทจำนวน60,000 บาท จำเลยไม่นำสืบโต้เถียงศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าใช้จ่ายในการต่อตัวถังรถยนต์พิพาทเป็นจำนวน 46,000บาท เหมาะสมแล้ว ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ในปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิได้รับชดใช้ค่าเสียหายกรณีที่โจทก์ขาดประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทหรือไม่ โจทก์อ้างว่าจำเลยมีหน้าที่จดทะเบียนรถยนต์ขนส่ง โจทก์ได้ชำระค่าจดทะเบียนรถยนต์พิพาทให้จำเลยในวันทำสัญญาเช่าซื้อเป็นเงิน 12,000 บาท จำเลยไม่จดทะเบียนรถยนต์พิพาทให้ โจทก์ไม่สามารถนำรถออกใช้จึงขาดประโยชน์ เห็นว่าสัญญาเช่าซื้อไม่ได้ระบุว่าจำเลยมีหน้าที่เป็นผู้จดทะเบียนรถยนต์พิพาทโจทก์ไม่มีหลักฐานการรับเงินค่าจดทะเบียน จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ และการเช่าซื้อรถยนต์พิพาทโจทก์เป็นผู้ต่อตัวถังรถยนต์พิพาท การจดทะเบียนรถยนต์พิพาทเป็นรถยนต์ขนส่งจะทำได้ต้องนำรถยนต์พิพาทที่ต่อตัวถังเรียบร้อยไปตรวจสภาพและยื่นคำขอจดทะเบียน การกระทำดังกล่าวมีวิธีปฏิบัติยุ่งยาก เชื่อว่าโจทก์เป็นผู้มีหน้าที่ในการจดทะเบียนรถยนต์พิพาทการที่โจทก์ไม่จัดการจดทะเบียนรถยนต์พิพาทเพื่อให้สามารถนำออกใช้ได้จึงเป็นความผิดของโจทก์เอง และได้ความต่อไปอีกว่าโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้จำเลยเพียง 5 งวด ที่โจทก์อ้างว่าได้ใช้รถยนต์พิพาทเพียง 2 เดือนจึงขัดต่อเหตุผล เพราะหากโจทก์ไม่สามารถใช้รถยนต์พิพาทได้ โจทก์คงต้องบอกเลิกสัญญาหรือมิฉะนั้นก็ไม่ส่งเงินค่างวดต่อไปอีก 3 งวดนอกจากนี้เมื่อจำเลยยึดรถยนต์พิพาทมาแล้ว พนักงานของจำเลยได้ตรวจสอบปรากฏว่าอุปกรณ์ของรถยนต์พิพาทชำรุดเสียหายหลายรายการ และโจทก์ใช้รถยนต์พิพาทถึง 30,183 กิโลเมตร ตามบันทึกการตรวจสภาพรถยนต์พิพาทเอกสารหมาย ล.4 ประกอบกับโจทก์ใช้รถยนต์พิพาทขนส่งน้ำดื่มในกรุงเทพมหานคร การที่รถยนต์พิพาทแล่นเป็นระยะทาง 30,183 กิโลเมตรแสดงให้เห็นว่าโจทก์ใช้รถยนต์พิพาทตั้งแต่ต่อตัวถังรถยนต์พิพาทเสร็จจนถึงวันที่จำเลยไปยึดรถยนต์พิพาทคืนมา เชื่อว่าใช้รถยนต์พิพาทอย่างน้อย 17 เดือน โจทก์จึงใช้รถยนต์พิพาทเพื่อประโยชน์ของโจทก์โดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 12เดือน เมื่อเปรียบเทียบกับค่าขาดประโยชน์ของโจทก์ซึ่งมีค่าเช่าซื้อรวมอยู่ด้วยนับแต่วันที่รถยนต์พิพาทถูกยึดถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ ศาลฎีกาเห็นว่าโจทก์ได้รับประโยชน์จากการใช้รถยนต์พิพาทโดยไม่ชำระค่าเช่าซื้อมากกว่าค่าขาดประโยชน์ที่โจทก์จะพึงได้รับแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดค่าเสียหายในส่วนนี้ให้ชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share