แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โคเป็นของจำเลยและพ่อตารวมกัน จำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูรักษาแต่ผู้เดียว โดยเวลาเช้าจำเลยก็เปิดคอกปล่อยโคให้ออกหากินโดยลำพัง ไม่มีคนคอยควบคุมเลี้ยงดูรักษา ตกเวลาเย็นจำเลยจึงไปไล่กลับมาเข้าคอก ดังนี้ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ควบคุมสัตว์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 395 แล้ว การที่จำเลยไม่ควบคุมปล่อยปละละเลยให้โคเข้าไปกัดกินพืชพันธุ์ในไร่ของผู้เสียหายปลูกไว้จึงมีความผิด
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องมีใจความว่า จำเลยปล่อยปละละเลยให้วัว 46 ตัวเข้าไปในไร่ปอและกินต้นปอของผู้มีชื่อเสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 395
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยตามฟ้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า คดีไม่ได้ความแน่ชัดว่า ขณะที่โคเข้าไปกัดกินในไร่ปอนั้น จำเลยอยู่ในฐานะเป็นผู้ควบคุมโค แล้วปล่อยปละละเลยให้โคเข้าไป จึงยังไม่มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 395 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
อัยการโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโคนั้นเป็นของจำเลยและพ่อตาจำเลยรวมกัน พ่อตาจำเลยชราแล้ว และจำเลยเป็นผู้เลี้ยงดูรักษาแต่ผู้เดียว โดยเวลาเช้าจำเลยก็เปิดคอกปล่อยโคทั้งหมดนั้นให้ออกหากินโดยลำพังไม่มีคนคอยควบคุมเลี้ยงดูรักษา ครั้นตกเวลาเย็นจำเลยจึงไล่กลับมาเข้าคอก ดังนี้ พฤติการณ์ก็ต้องถือว่าจำเลยเป็นผู้ควบคุมสัตว์ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 395 แล้วการที่จำเลยไม่เคยควบคุมปล่อยปละละเลยให้โคเข้าไปกัดกินพืชพันธ์ในไร่ปอนั้น จึงมีความผิด
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น