แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการใช้สิทธิทางศาล จะเป็นการกระทำละเมิดต่อเมื่อกระทำโดยไม่สุจริต มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ปรากฏว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาท จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงหาได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่นำยึดทรัพย์ไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดรถยนต์คันพิพาท คดีถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งอันถึงที่สุดแล้วนั้น โดยต้องคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์คันพิพาทไว้อีกต่อไป ดังนี้คำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงในคดีนี้ว่าตนยังมีสิทธิ์ยึดหน่วงอีกย่อมฟังไม่ขึ้น ทั้งการที่โจทก์ขอรับรถยนต์พิพาทคืนจากจำเลย ภายหลังศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ถอนการยึดแล้ว แต่จำเลยไม่คืนให้ มิใช่เป็นการใช้สิทธิทางศาลอีกต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า บริษัทเอมเพรสแทรเวิล เซอร์วิส จำกัด ได้เช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทไปจากโจทก์แล้วผิดสัญญา ศาลมีคำพิพากษาให้บริษัทดังกล่าวคืนรถยนต์แก่โจทก์ ในชั้นบังคับคดี โจทก์ไปขอรถยนต์คันดังกล่าวคืนจากจำเลย จำเลยอ้างว่าบริษัทดังกล่าวนำรถไปซ่อมและค้างค่าซ่อมจึงไม่ยอมคืนให้โจทก์ ต่อมาวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๒๑ จำเลยนำเจ้าพนักงานศาลไปยึดรถยนต์คันดังกล่าวไว้โดยจำเลยทราบดีว่ารถยนต์คันดังกล่าวเป็นของโจทก์ โจทก์จึงได้ขัดทรัพย์ ขอให้ปล่อย ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้คืนรถยนต์ให้โจทก์ จำเลยไม่ปฏิบัติ ได้อุทธรณ์ฎีกาตามลำดับ ศาลฎีกาสั่งให้จำเลยคืนรถยนต์คันดังกล่าวให้โจทก์ การที่จำเลยยึดรถยนต์ของโจทก์ โดยโจทก์มิได้เป็นลูกหนี้จำเลย เป็นการจงใจทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน ๓,๐๕๗,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า บริษัทเอมเพรสแทรเวิล เซอร์วิส จำกัด ได้นำรถยนต์คันพิพาทไปว่าจ้างให้จำเลยซ่อม จำเลยจึงฟ้องบังคับศาลชั้นต้นพิพากษาให้บริษัทดังกล่าวชำระหนี้ให้จำเลย บริษัทดังกล่าวไม่มีทรัพย์สินอื่นที่จะเอาชำระหนี้ได้ จำเลยจึงได้ยึดรถยนต์คันดังกล่าวซึ่งจำเลยได้ยึดหน่วงไว้โดยเข้าใจโดยสุจริตว่าเป็นรถยนต์ของบริษัทดังกล่าว เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องขัดทรัพย์แล้ว จำเลยก็ส่งมอบรถยนต์ให้โจทก์ในวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๒๒ ทันทีตามคำสั่งของศาลชั้นต้น คงอุทธรณ์ฎีกาให้ศาลสูงวินิจฉัยข้อกฎหมายเท่านั้น โจทก์ได้รับรถคืนไปในสภาพเรียบร้อย ไม่เสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้บริษัทจำเลยใช้เงินให้แก่บริษัทโจทก์เป็นเงิน ๒,๕๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษาเป็นการใช้สิทธิทางศาล จะเป็นการกระทำละเมิดต่อเมื่อกระทำโดยไม่สุจริตมีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ปรากฏว่าจำเลยมีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์พิพาท จำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดทรัพย์พิพาทโดยสุจริตมิได้มีเจตนากลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับความเสียหาย จำเลยจึงหาได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ ตั้งแต่นำยึดทรัพย์ในวันที่ ๘ มีนาคม ๒๕๒๑ ไม่ แต่เมื่อศาลชั้นต้นให้ถอนการยึดรถยนต์คัดพิพาท คดีถึงที่สุดไปแล้ว จำเลยต้องปฏิบัติตามคำสั่งอันถึงที่สุดแล้วนั้น โดยต้องคืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าของไม่มีสิทธิยึดหน่วงรถยนต์คันพิพาทไว้อีกต่อไป ดังนี้คำพิพากษาอันถึงที่สุดแล้วย่อมผูกพันจำเลยซึ่งเป็นคู่ความ จำเลยจะฎีกาโต้เถียงในคดีนี้ว่าตนยังมีสิทธิยึดหน่วงอีกย่อมฟังไม่ขึ้น ทั้งการที่โจทก์ขอรับรถยนต์พิพาทคืนจากจำเลยเมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๒ แต่จำเลยไม่คืนให้ มิใช่เป็นการใช้สิทธิทางศาลอีกต่อไป ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๒ เป็นต้นไปเป็นการชอบแล้ว แล้ววินิจฉัยให้จำเลยชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๒๒ ถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๒๒
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน ๑๗๐,๐๐๐ บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์