คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1469/2524

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อนายจ้างมีนโยบายและระเบียบที่จะเพิ่มค่าจ้างให้แก่ลูกจ้างเมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น การที่นายจ้างจ่ายเงินค่าครองชีพให้แก่ลูกจ้างเมื่อค่าครองชีพสูงขึ้นจึงแสดงว่าเป็นการเพิ่มค่าจ้างให้สูงขึ้นนั่นเอง นอกจากนี้ยังได้ความว่า ภายหลังต่อมานายจ้างก็รวมเงินค่าครองชีพเข้าเป็นค่าจ้างปกติ แสดงให้เห็นว่านายจ้างประสงค์ให้เงินค่าครองชีพเป็นค่าจ้าง แต่ที่ได้แยกจ่ายออกจากค่าจ้างปกติก็โดยหวังว่าจะทำให้ไม่ต้องนำมารวมเป็นค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินอื่นเท่านั้น ค่าครองชีพจึงเป็นค่าจ้างอันต้องนำมาคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
ตามระเบียบของบริษัทนายจ้างบริษัทจะไม่อนุมัติให้จ่ายเงินรางวัลประจำปีหรือโบนัสในปีใดก็ได้ มิได้แสดงเจตนาที่จะจ่ายให้ลูกจ้างเป็นประจำทุกปี ทั้งการจ่ายก็มีความมุ่งหมายเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความดีความชอบของลูกจ้างที่ทำงานมาด้วยดีและมีความประพฤติเหมาะสมเงินรางวัลประจำปีหรือโบนัสจึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงาน ไม่เป็นค่าจ้างอันจะนำมาคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทน
เพียงแต่จำเลยที่ 2 เป็นอธิบดีกรมแรงงานจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 หาต้องรับผิดเป็นการส่วนตัวในการคืนเงินสมทบที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนซึ่งมีฐานะเป็นกองสังกัดกรมจำเลยที่ 1 เรียกเก็บเกินมาแก่โจทก์ด้วยไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า หัวหน้าสำนักงานกองทุนเงินทดแทนมีหนังสือแจ้งโจทก์ว่ายอดค่าจ้างที่แท้จริงสูงกว่ายอดค่าจ้างที่โจทก์รายงานสั่งให้โจทก์นำเงินสมทบเพิ่มไปชำระทั้งนี้เพราะสำนักกองทุนเงินทดแทนได้นำเงินค่าครองชีพและเงินรางวัลประจำปี (โบนัส) ที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างซึ่งมิใช่ค่าจ้างมารวมคำนวณเงินสมทบด้วย โจทก์อุทธรณ์ต่อคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนและได้จ่ายเงินสมทบเพิ่มเติมตามการประเมินนั้นแล้วคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนพิจารณาแล้วมีมติว่าคำสั่งของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนดังกล่าวชอบแล้ว โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยเพราะเงินช่วยเหลือค่าครองชีพและเงินรางวัลประจำปีที่โจทก์จ่ายให้แก่พนักงานนั้นไม่ใช่ค่าจ้าง การนำเงินค่าครองชีพและเงินรางวัลประจำปีมารวมคำนวณเงินสมทบเป็นการคลาดเคลื่อนไม่ถูกต้องตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ขอให้ศาลพิพากษาเพิกถอนคำสั่งของสำนักงานกองทุนเงินทดแทน และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทนที่วินิจฉัยให้โจทก์ชำระเงินดังกล่าว ให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันหรือแทนกันคืนเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนที่เรียกเก็บไปพร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่เรียกเก็บจนถึงวันฟ้อง และชำระดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินที่เรียกเก็บไปนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยทั้งสิบให้การว่า การที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนนำเงินค่าครองชีพและเงินรางวัลประจำปีที่โจทก์จ่ายให้ลูกจ้างมารวมคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนและแจ้งให้โจทก์นำไปชำระเพิ่มนั้นชอบแล้ว เพราะเงินค่าครองชีพเป็นส่วนหนึ่งของค่าจ้าง และเงินรางวัลประจำปีมีลักษณะเป็นรายได้ส่วนหนึ่ง นับว่าเป็นค่าจ้างด้วยจำเลยที่ 2มิได้เป็นผู้เรียกเก็บและเก็บเงินไปจากโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 2 ให้ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1

ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เงินค่าครองชีพและเงินรางวัลประจำปีหรือเงินโบนัสที่โจทก์จ่ายให้แก่พนักงานเป็นค่าจ้าง พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์มีระเบียบข้อบังคับกำหนดว่า โจทก์มีนโยบายที่จะบริหารค่าจ้างให้เป็นไปโดยยุติธรรมและเพียงพอแก่อัตภาพของพนักงาน เพื่อที่จะให้พนักงานปฏิบัติงานกับโจทก์ด้วยความผาสุก ปัจจัยประการหนึ่งที่โจทก์จะนำมาพิจารณากำหนดค่าจ้างคือ สภาพทางเศรษฐกิจทั่ว ๆ ไปของประเทศ เห็นได้ว่าเมื่อค่าครองชีพสูงขึ้นโจทก์มีนโยบายและระเบียบที่จะเพิ่มค่าจ้างให้แก่ลูกจ้าง การที่โจทก์จ่ายเงินค่าครองชีพให้แก่ลูกจ้างเมื่อค่าครองชีพสูงขึ้น จึงแสดงว่าโจทก์จ่ายเป็นการเพิ่มค่าจ้างให้สูงขึ้นนั่นเองนอกจากนั้นยังได้ความว่าหลังจากสำนักงานกองทุนเงินทดแทนแจ้งให้โจทก์นำเงินสมทบที่ขาดไปชำระในคดีนี้ โดยถือว่าเงินค่าครองชีพเป็นค่าจ้างแล้ว โจทก์ก็รวมเงินค่าครองชีพเข้าเป็นค่าจ้างปกติ สนับสนุนให้เห็นว่าโจทก์ประสงค์ให้เงินค่าครองชีพเป็นค่าจ้างแต่ที่ได้แยกจ่ายออกจากค่าจ้างปกติก็โดยหวังว่าจะทำให้ไม่ต้องนำมารวมเป็นค่าจ้างเพื่อคำนวณเงินอื่นเท่านั้น พฤติการณ์แสดงว่าเงินค่าครองชีพเป็นเงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงานฯข้อ 2 อย่างเดียวกับค่าจ้างปกติ

ตามระเบียบของโจทก์ คณะกรรมการบริษัทโจทก์จะไม่อนุมัติให้จ่ายเงินรางวัลประจำปีในปีใดก็ได้ มิใช่โจทก์ได้แสดงเจตนาที่จ่ายให้ลูกจ้างเป็นประจำทุกปี ทั้งการจ่ายก็มีความมุ่งหมายเพื่อเป็นรางวัลสำหรับความดีความชอบของลูกจ้างที่ทำงานกับโจทก์มาด้วยดีและมีความประพฤติเหมาะสม เงินรางวัลประจำปีจึงมิใช่เงินที่โจทก์จ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงาน ไม่เป็นค่าจ้างอันจะมาคำนวณเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเมื่อโจทก์ได้จ่ายเงินสมทบตามวิธีประเมินที่นำเงินรางวัลประจำปีหรือโบนัสมารวมเป็นค่าจ้างให้แก่สำนักงานกองทุนเงินทดแทน กรมแรงงาน จำเลยที่ 1 ไปแล้วจำเลยที่ 1 จึงต้องคืนเงินส่วนนั้นพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ อย่างไรก็ดีที่โจทก์มีคำขอให้จำเลยที่ 2 ร่วมกับจำเลยที่ 1 ในการคืนเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนแก่โจทก์ด้วยนั้นเห็นว่าเพียงแต่จำเลยที่ 2 เป็นอธิบดีกรมแรงงาน จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 หาต้องรับผิดเป็นส่วนตัวในการคืนเงินสมทบที่สำนักงานกองทุนเงินทดแทนเรียกเก็บเกินมาแก่โจทก์ด้วยไม่

พิพากษาแก้ ให้เพิกถอนคำสั่งของสำนักงานกองทุนเงินทดแทนและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการกองทุนเงินทดแทน ที่ให้เรียกเก็บเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนเพิ่มเติมจากโจทก์เฉพาะส่วนที่คำนวณจากเงินรางวัลประจำปีหรือเงินโบนัส และให้จำเลยที่ 1 คืนเงินสมทบกองทุนเงินทดแทนที่เรียกเก็บเพิ่มเติมจากโจทก์เฉพาะส่วนที่คำนวณเงินรางวัลประจำปีหรือเงินโบนัสพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปี นับแต่วันที่โจทก์จ่ายเงินสมทบเพิ่มจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share