คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5290/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าจ้าง โดยอ้างว่าจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยให้การแต่เพียงว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินความเป็นจริงโดยมิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องโจทก์ คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องหรือไม่และถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์แล้ว ศาลอุทธรณ์ภาค 1 หยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงที่ถือว่าจำเลยรับแล้วขึ้นวินิจฉัยอันเป็นการนอกเหนือประเด็นที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์(น.ส.3 ก.) เลขที่ 1789 เป็นของจำเลย ซึ่งได้จดทะเบียนจำนองไว้แก่ธนาคาร ต่อมาถูกบังคับจำนองและโจทก์ซื้อที่ดินดังกล่าวจากการขายทอดตลาดของศาลชั้นต้น หลังจากนั้นจำเลยได้ตกลงยกที่ดินว่างเปล่าเนื้อที่ 49 ไร่ ซึ่งอยู่ติดกับที่ดินดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ครอบครอง หลังจากโจทก์ทำประโยชน์บนที่ดินพิพาทแล้วจำเลยเข้ายึดถือเอาคืนและยึดถือเอางานที่โจทก์ทำลงไปบนที่ดินดังกล่าว ต่อมาโจทก์จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมกันโดยจำเลยตกลงชดใช้ค่าเสียหายโจทก์ 44,000 บาท กำหนดชำระภายในวันที่ 7 กรกฎาคม 2533เมื่อถึงกำหนดจำเลยไม่ชำระ โจทก์ทวงถามแต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับให้จำเลยชำระเงินตามสัญญา 56,463 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การว่า โจทก์เรียกค่าเสียหายเกินความจริง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน 56,463 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าว่าจ้างตัดฟันต้นไม้ จ้างรถแทรกเตอร์ ค่าซื้อพันธุ์มะละกอ ค่าขนส่งและค่าว่าจ้างคนงานจากจำเลย รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 56,463 บาท โดยอ้างว่าจำเลยตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความชำระเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์แล้ว จำเลยให้การแต่เพียงว่าค่าเสียหายที่โจทก์เรียกมานั้นสูงเกินความเป็นจริง โดยมิได้ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องโจทก์แต่อย่างใด คดีจึงไม่มีประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความตามฟ้องหรือไม่ และถือว่าจำเลยรับว่าได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแก่โจทก์แล้ว การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1กลับหยิบยกข้อเท็จจริงขึ้นวินิจฉัยว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่ได้ทำหลักฐานเป็นหนังสือ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์นั้น จึงเป็นการหยิบยกข้อเท็จจริงที่ถือว่าจำเลยรับแล้วขึ้นวินิจฉัยอันเป็นการนอกเหนือประเด็นที่จำเลยยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ในคำให้การเป็นการมิชอบด้วยกฎหมาย ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ไม่มีอำนาจที่จะหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยได้ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น เมื่อวินิจฉัยดังนี้แล้วปัญหาอื่นไม่จำต้องวินิจฉัย
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

Share