แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างระหว่างโจทก์จำเลยในการปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนแก่ลูกจ้างรายวันมีว่า “ลูกจ้างรายวันที่ได้รับค่าจ้างตั้งแต่วันละ 47 บาทขึ้นไปทั้งนี้หากต่อไปมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นวันละเกิน 35 บาทแล้ว การพิจารณาปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนแก่ลูกจ้างรายวันจะถือเอาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสุดที่บริษัทปรับให้แก่ลูกจ้างเนื่องจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่รวมกับอัตราเดิมเป็นเกณฑ์การพิจารณา” คำว่าอัตราเดิมตามข้อตกลงดังกล่าวหมายถึงอัตราค่าจ้างวันละ47 บาท ที่กำหนดไว้ในตอนต้นนั้นเองไม่ใช่อัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างหรือโจทก์แต่ละคนได้รับขณะทำข้อตกลงเพราะค่าจ้างที่โจทก์แต่ละคนได้รับไม่ได้ถูกนำมาระบุไว้ในบันทึกข้อตกลงอันจะถือให้เห็นว่าเป็นอัตราเดิมเมื่อมีการปรับค่าจ้างใหม่จึงต้องนำค่าจ้างขั้นต่ำที่สุดที่ปรับให้มารวมกับอัตราค่าจ้าง 47 บาทและกลายเป็นอัตราเดิมตามข้อตกลงนี้ต่อไป
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ทั้ง ๖๕ คนเป็นลูกจ้างประจำของจำเลยมีหน้าที่วันเริ่มเข้าทำงานและอัตราค่าจ้างครั้งสุดท้ายตามบัญชีท้ายฟ้อง ตัวแทนของโจทก์และจำเลยได้ทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ และวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๓ ท้ายฟ้อง ตามบันทึกฉบับแรกข้อ ๕.๒ จำเลยตกลงปรับค่าจ้างลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือนเฉพาะลูกจ้างรายวันที่ได้รับค่าจ้างตั้งแต่วันละ ๔๗ บาทขึ้นไป และมีอายุงานไม่ต่ำกว่า ๔ ปี การปรับค่าจ้างให้ใช้อัตราค่าจ้างรายวันที่ลูกจ้างได้รับคูณด้วย ๓๐ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๓ โจทก์ทุกคนได้รับค่าจ้างเกินวันละ ๔๗ บาท มีอายุงานไม่ต่ำกว่า ๔ ปีตามข้อตกลงแล้วแต่จำเลยไม่ปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนให้โจทก์ และจำเลยให้ค่าจ้างโจทก์ทั้ง ๖๕ คน โดยเอาค่าจ้างรายวันคูณด้วย ๒๖ (หักวันอาทิตย์และวันหยุดประจำสัปดาห์) ซึ่งผิดข้อตกลง โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยปฏิบัติตามแล้วจำเลยไม่ยอม ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าจ้างให้โจทก์ทั้ง ๖๕ คน ให้ครบตามข้อตกลงตั้งแต่วันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๓ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๓ และให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง ลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ ข้อ ๕.๒ โดยปรับค่าจ้างให้โจทก์เป็นรายเดือน ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไป
จำเลยให้การว่าตามบันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ การปรับอัตราค่าจ้างลูกจ้างรายวันเป็นรายเดือนต้องเข้าหลักเกณฑ์ตามข้อ ๕.๑ หรือ ๕.๒ แต่โจทก์ทั้ง ๖๕ คนไม่เข้าหลักเกณฑ์ข้างต้น จึงไม่ได้รับการปรับค่าจ้าง จำเลยไม่ได้ทำผิดข้อตกลงตามฟ้อง
ชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยรับกันว่า
โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยมาครบ ๔ ปี เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๒๓ ทุกคนได้รับค่าจ้างตามบัญชีท้ายคำให้การ การปรับค่าจ้างตามคำขอท้ายฟ้องใช้วิธีคำนวณโดยนำค่าจ้างอัตราสุดท้ายคูณด้วย ๓๐ บวกด้วยค่าอาหาร ๑๕๐ บาท ค่าครองชีพ ๑๓๕ บาท ค่าจ้างค้างจ่ายที่โจทก์ฟ้องให้นำค่าจ้างรายวันของโจทก์แต่ละคนตามบัญชีท้ายคำให้การจำเลยหมายเลข ๔ในเดือนมีนาคม ๒๕๒๓ คูณด้วย ๒๘ เอกสารท้ายฟ้องท้ายคำให้การถูกต้องนับจากวันทำข้อตกลงจนถึงวันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๒๓ โจทก์ทุกคนไม่มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าผลัด ค่าแรงขั้นต่ำตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๑ ถึง ๓๐กันยายน ๒๕๒๒ วันละ ๓๕ บาท ตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๒ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๒๓ วันละ ๔๕ บาท และตั้งแต่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ ถึง ๓๑ ธันวาคม ๒๕๒๓ วันละ ๕๔ บาท
โจทก์จำเลยท้ากันเป็นข้อแพ้ชนะเพียงประเด็นเดียวว่า บันทึกข้อตกลงฉบับลงวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๒๑ ข้อ ๕.๒ ที่ว่า “ลูกจ้างรายวันที่ได้รับค่าจ้างตั้งแต่ ๔๗ บาทขึ้นไป ทั้งนี้หากมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นวันละ ๓๕ บาทแล้ว การพิจารณาปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนแก่ลูกจ้างรายวันจะถือเอาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสุดที่บริษัทปรับให้แก่ลูกจ้างเนื่องจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่รวมกับอัตราเดิมเป็นเกณฑ์การพิจารณานั้นมีความหมายที่แท้จริงอย่างใด
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า เนื่องจากการปรับค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลในปี พ.ศ. ๒๕๒๒ จำเลยปรับค่าจ้างจำนวนต่ำสุด ๔ บาท กันในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จำเลยปรับค่าจ้างจำนวนต่ำสุด ๔.๕๐ บาท ฉะนั้น เกณฑ์การพิจารณาปรับค่าจ้างรายวันเป็นรายเดือนสำหรับช่วงวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๒ ถึงวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๒๓ ต้องเปลี่ยนจากอัตราเดิมเป็น ๕๑ บาทและนับแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ ต้องเปลี่ยนเป็น ๕๕.๕๐ บาท ในเดือนมีนาคม ๒๕๒๓ โจทก์ที่ ๑ ถึง ๕๒ ได้รับค่าจ้างตั้งแต่วันละ ๕๑ บาทขึ้นไปจึงเข้าเกณฑ์การพิจารณาปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนตามข้อตกลง ส่วนโจทก์ที่ ๕๓ – ๖๕ ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าวันละ ๕๑ บาท ไม่เข้าเกณฑ์ปรับเป็นรายเดือน และในเดือนตุลาคม ๒๕๒๓ โจทก์ที่ ๑ ถึง ๕๘ และโจทก์ที่ ๖๐ ถึง ๖๕ ได้รับค่าจ้างวันละ ๕๕.๕๐ บาทขึ้นไป จึงเข้าเกณฑ์การพิจารณาปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนตามข้อตกลง คงมีเฉพาะโจทก์ที่ ๕๙ เท่านั้นที่ได้รับค่าจ้างต่ำกว่าวันละ ๕๕.๕๐ บาท ไม่เข้าเกณฑ์ปรับค่าจ้างเป็นรายเดือน พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าจ้างค้างจ่าย (๑ มีนาคม ถึง๓๐ กันยายน ๒๕๒๓) ให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงโจทก์ที่ ๕๒ และให้จำเลยปรับค่าจ้างรายวันเป็นเดือนให้แก่โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕๘ และที่ ๖๐ ถึง ๖๕ ตั้งแต่วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๒๓ เป็นต้นไป (จำนวนที่ให้ชำระและอัตราที่ปรับศาลแรงงานกลางกำหนดให้ตามที่คู่ความรับกัน)
จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาว่า “อัตราเดิม” ในบันทึกข้อตกลงข้อ ๕.๒ มีความหมายอย่างไร ที่จำเลยอ้างในอุทธรณ์ว่า หมายถึงอัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างแต่ละคนได้รับในขณะทำบันทึกข้อตกลงมิได้หมายถึงอัตราค่าจ้างวันละ ๔๗ บาทที่ตั้งไว้เป็นเกณฑ์การพิจารณาปรับค่าจ้างรายวันเป็นรายเดือนนั้น เห็นว่า ตามบันทึกข้อตกลงข้อ ๕.๒ ได้ตั้งกำหนดอัตราค่าจ้างวันละ ๔๗ บาทเป็นเกณฑ์การพิจารณา ส่วนเงื่อนไขของข้อตกลงที่วางไว้ว่า “หากต่อไปมีการปรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำใหม่เป็นวันละเกินกว่า๓๕ บาทแล้ว การพิจารณาปรับค่าจ้างเป็นรายเดือนแก่ลูกจ้างรายวันจะถือเอาอัตราค่าจ้างขั้นต่ำสุดที่บริษัทปรับให้แก่ลูกจ้างเนื่องจากการปรับอัตราค่าจ้างขั้นใหม่รวมกับอัตราเดิมเป็นเกณฑ์การพิจารณา”เป็นความที่ขยายหลักเกณฑ์ของข้อตกลงนี้หรือให้มีอัตราค่าจ้างที่อาศัยเป็นเกณฑ์การพิจารณาปรับค่าจ้างรายวันเป็นรายเดือนให้สูงขึ้นไปตามการปรับค่าจ้างขั้นต่ำของทางราชการ ฉะนั้น คำว่า “อัตราเดิม” จึงต้องหมายถึงอัตราค่าจ้างวันละ ๔๗ บาท ที่กำหนดไว้ในตอนต้นนั้นเองไม่ใช่อัตราค่าจ้างที่ลูกจ้างหรือโจทก์แต่ละคนได้รับอยู่ขณะทำข้อตกลงดังจำเลยอุทธรณ์เพราะค่าจ้างที่โจทก์แต่ละคนได้รับหาได้ถูกนำมาระบุไว้ในบันทึกข้อตกลง อันจะส่อให้เห็นว่าเป็น “อัตราเดิม” ที่เงื่อนไขตอนท้ายอ้างอิงไม่ ฉะนั้น เมื่อมีการปรับค่าจ้างใหม่จึงต้องนำค่าจ้างขั้นต่ำที่สุดที่ปรับให้มารวมกับอัตราค่าจ้าง ๔๗ บาท และกลายเป็นอัตราเดิมของข้อตกลงนี้ต่อไป
พิพากษายืน