คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1468/2542

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การที่ธนาคารโจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินกู้ทั้งหมดพร้อมไถ่ถอนจำนองและจำเลยได้รับหนังสือดังกล่าวแล้ว แสดงว่า โจทก์บอกเลิกสัญญากู้เงินแล้วตามหนังสือดังกล่าว เมื่อสัญญา สิ้นสุดลง โจทก์จะอาศัยประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย และประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดเงิน ให้สินเชื่อในอัตราที่โจทก์มีสิทธิเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อ ที่ผิดเงื่อนไขได้ถึงร้อยละ 24 ต่อปีมาปรับคิดดอกเบี้ยกับจำเลย ในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นหาได้ไม่ เพราะสัญญาที่ให้สิทธิ แก่โจทก์ในการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสิ้นผลไปก่อนแล้ว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินกู้พร้อมดอกเบี้ยจำนวน368,371.21 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 24 ต่อปี ของต้นเงินจำนวน 289,568.83 บาท นับถัดจากวันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และขอให้บังคับจำนอง
จำเลยยื่นคำให้การว่า โจทก์คิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 24 ไม่ได้ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดมีลักษณะเป็นเบี้ยปรับที่โจทก์คิดดอกเบี้ยระหว่างผิดนัดอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จนถึงอัตราร้อยละ 24 ต่อปีเป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วน พิพากษาให้จำเลยร่วมกันชำระเงิน 289,568.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2539 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยไม่ชำระหรือชำระไม่ครบให้ยึดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 5187 เลขที่ดิน 217 ตำบลสบเตี๊ยะ อำเภอจอมทองจังหวัดเชียงใหม่ พร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ หากได้เงินจำนวนสุทธิไม่พอชำระหนี้ให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์จนครบ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังยุติว่าเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2538 จำเลยกู้เงินโจทก์จำนวน 300,000 บาทจำเลยยอมให้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราลอยตัวตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย ในวันทำสัญญากู้โจทก์คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 18 ต่อปี จำเลยต้องชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นรายเดือน ๆ ละไม่ต่ำกว่า 7,300 บาท เริ่มผ่อนชำระงวดแรกวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2538 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 27 ของทุกเดือนจนกว่าจะครบ แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่ชำระเงินต้นและดอกเบี้ยตามกำหนด ยอดหนี้ ณ วันที่ 31 กรกฎาคม 2539 จำเลยค้างชำระเงินต้นจำนวน 289,568.83 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 19 ต่อปี จนถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2540
คดีมีปัญหาข้อกฎหมายที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 24 ต่อปีของต้นเงิน 289,568.83 บาท นับแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความจากพยานหลักฐานโจทก์ว่า โจทก์ทวงถามให้จำเลยชำระเงินกู้ทั้งหมดพร้อมไถ่ถอนจำนองภายในวันที่ 5 ตุลาคม 2540 ตามเอกสารหมาย จ.10 จำเลยได้รับหนังสือดังกล่าววันที่ 17 กันยายน 2540 ตามเอกสารหมาย จ.11 แสดงว่าโจทก์บอกเลิกสัญญากู้เงินแล้วตามหนังสือดังกล่าว เมื่อสัญญากู้เงินที่จำเลยทำไว้กับโจทก์สิ้นสุดลงแล้ว โจทก์จะอาศัยประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยและประกาศของโจทก์เรื่องอัตราดอกเบี้ยและส่วนลดเงินให้สินเชื่อ ลงวันที่ 4 ธันวาคม 2540 ที่โจทก์มีสิทธิเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อที่ผิดเงื่อนไขได้ถึงร้อยละ 24 ต่อปีโดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 8 ธันวาคม 2540 มาปรับคิดดอกเบี้ยกับจำเลยในอัตราที่เพิ่มสูงขึ้นหาได้ไม่ เพราะสัญญาที่ให้สิทธิแก่โจทก์ในการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยสิ้นผลไปก่อนแล้ว โจทก์คงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยจากจำเลยในอัตราร้อยละ 19 ต่อปี ที่ศาลชั้นต้นพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นด้วยในผล
พิพากษายืน

Share