คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2536

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อ ท.ถึงแก่กรรมสิทธิครอบครองที่ดินส.ค.1ของท.ย่อมตกเป็นของโจทก์ซึ่งเป็นทายาทในทันที การที่จำเลยแจ้งความเท็จต่อพนักงานสอบสวนว่า ส.ค.1 ดังกล่าวสูญหายไป แล้วไปคัดสำเนา ส.ค.1จากอำเภอและไปดำเนินการขอให้ออกโฉนดในที่ดินดังกล่าวย่อมกระทบกระเทือนสิทธิของโจทก์ โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย ที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าทนายโจทก์ไม่ป่วยจริงตามคำร้องขอเลื่อนคดีจึงสั่งให้ยกคำร้องและโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามนัด จึงถือว่าไม่มีพยานมาสืบ ให้งดสืบพยานโจทก์และนัดสืบพยานจำเลยต่อไปนั้นมิใช่กรณีศาลมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 166,181 คำสั่งระหว่างพิจารณาในคดีอาญา ผู้อุทธรณ์ไม่จำต้องโต้แย้งคัดค้านไว้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 137 ให้ลงโทษจำคุก 1 เดือน และปรับ 500 บาท จำเลยอายุ82 ปีแล้ว และไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงให้รอการลงโทษจำคุกไว้มีกำหนด 1 ปี ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30
จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยแจ้งความเท็จแก่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอผักไห่ว่า ส.ค.1 เลขที่ 17 ของนางทองคำ ไตรเนตร ซึ่งจำเลยเก็บรักษาไว้ในตู้เอกสารที่บ้านได้หายไป ความจริง ส.ค.1 มิได้หายไปแต่อย่างใด จึงมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์เสียหายและมีอำนาจฟ้องหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความต่อไปว่า หลังจากจำเลยแจ้งความเท็จตามเอกสารหมาย จ.4ดังกล่าวแล้ว จำเลยได้นำเอกสารดังกล่าวไปขอคัดสำเนา ส.ค.1เอกสารหมาย จ.5 จากอำเภอผักไห่แล้วนำไปยื่นต่อเจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดพระนครศรีอยุธยา สาขาเสนา ขอรังวัดที่ดินเพื่อออกโฉนดเป็นของจำเลยเป็นเหตุให้โจทก์ต้องไปคัดค้านไว้ปรากฏตามเอกสารหมายจ.6 การกระทำของจำเลยดังกล่าวจึงอาจทำให้โจทก์เสียหายเพราะเมื่อนางทองคำถึงแก่กรรม ที่ดินตาม ส.ค.1 เอกสารหมาย จ.5 ย่อมเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทันที การที่จำเลยอ้างว่าเอกสารหมาย จ.5 หายไปและนางทองคำผู้มีชื่อในเอกสารหมาย จ.5 มอบเอกสารพร้อมที่ดินตามเอกสารดังกล่าวให้จำเลยครอบครอง จำเลยจึงขอออกโฉนดที่ดินในนามของจำเลยย่อมกระทบกระเทือนต่อสิทธิครอบครองของโจทก์อาจทำให้โจทก์เสียหาย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหายและมีอำนาจฟ้องคดีนี้
คดีมีปัญหาจะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การที่จำเลยยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นขอให้ยกฟ้องเพราะโจทก์ไม่มาตามนัด แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยและจำเลยมิได้โต้แย้งคำสั่งดังกล่าวไว้จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวหรือไม่ เห็นว่าที่ศาลชั้นต้นเห็นว่าทนายโจทก์ไม่ป่วยจริงตามคำร้องขอเลื่อนคดีจึงสั่งยกคำร้องและโจทก์ไม่มีพยานมาสืบตามนัด จึงถือว่าไม่มีพยานมาสืบ ให้งดสืบพยานโจทก์และนัดสืบพยานจำเลยต่อไปนั้น มิใช่กรณีศาลมีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 166, 181เพราะเป็นเรื่องโจทก์ขอเลื่อนคดีแล้วศาลไม่ให้เลื่อน หาใช่โจทก์ไม่มาตามนัดศาลจึงต้องยกฟ้องตามนัยมาตราดังกล่าวแล้วไม่ ส่วนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องของจำเลยที่ขอให้ศาลมีคำสั่งยกฟ้องโจทก์ดังกล่าวแล้ว และจำเลยมิได้โต้แย้งคัดค้านคำสั่งศาลชั้นต้นไว้นั้นเห็นว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาคดีอาญาซึ่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 ห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งจนกว่าจะมีคำพิพากษาหรือคำสั่งในประเด็นสำคัญและมีอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นด้วย โดยที่มาตราดังกล่าวหาได้บัญญัติให้คู่ความต้องโต้แย้งคำสั่งไว้แต่ประการใดไม่ จำเลยจึงอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นโดยไม่ต้องโต้แย้งคำสั่งไว้ได้
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share