แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2,3 เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ และจำเลยที่ 3เป็นกรรมการรับเงินจากโจทก์ในฐานะดังกล่าว ณ ที่ทำการของจำเลยที่ 1และจำเลยที่ 2,3 ออกเช็คแทนจำเลยที่ 1 จำเลยทั้งสามปฏิบัติต่อเจ้าของเงินที่จำเลยที่ 2,3 รับเงินมารายอื่น ๆ เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อโจทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลเจตนาของนิติบุคคลย่อมแสดงออกทางผู้แทนนิติบุคคล เมื่อผู้แทนนิติบุคคลได้แสดงเจตนาซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของนิติบุคคลแล้ว ต้องถือว่าเป็นเจตนาของนิติบุคคล และผูกพันนิติบุคคล พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามทำให้บุคคลภายนอกเชื่อ ว่า การกระทำของจำเลยที่ 2,3 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1 ตลอดมา การที่จำเลยที่ 2,3 รับเงินจากโจทก์ แล้วไม่ได้มอบหรือนำเข้าบัญชีให้จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นเรื่องที่ตัวแทนไม่ส่งมอบทรัพย์ให้ตัวการ ดังนี้จำเลยที่ 1 จะอ้างเอาการที่จำเลยที่ 2,3 ซึ่งเป็นตัวแทนของตน กระทำการทุจริต หรือไม่ส่งมอบเงินแก่ตนนั้นมาบอกปัดความรับผิดต่อโจทก์ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตหาได้ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคล จำเลยที่ 2 และที่ 3 เคยเป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 โจทก์เป็นลูกค้าของจำเลยที่ 1 เคยนำเงินไปฝากกับจำเลยที่ 1 เพื่อรับผลประโยชน์ตอบแทนเป็นดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี หลายครั้ง เมื่อวันที่ 13กันยายน 2526 โจทก์นำเงินจำนวน 500,000 บาท วันที่ 14 พฤศจิกายน2526 จำนวน 800,000 บาท และวันที่ 22 กันยายน 2526 จำนวน 100,000บาท ไปฝากไว้กับจำเลยที่ 1 ซึ่งขณะนั้นมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ และมีจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจของจำเลยที่ 1ในการรับฝากเงินจากโจทก์ดังกล่าว จำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คธนาคารมหานคร จำกัด สำนักงานใหญ่ ลงวันที่ 13 มีนาคม 2527 จำนวนเงิน 400,000 บาท และจำนวนเงิน100,000 บาท เลขที่ 528462 ลงวันที่ 14 พฤษภาคม 2527 จำนวนเงิน800,000 บาท และลงวันที่ 22 กันยายน 2527 จำนวนเงิน 100,000 บาทเพื่อชำระหนี้คืนเงินฝากแก่โจทก์ การที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คดังกล่าว จำเลยที่ 2 และที่ 3 ยืนยันกับโจทก์ว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 และลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ในการมอบเช็คให้แก่โจทก์ก็บรรจุใส่ซองมีตราของจำเลยที่ 1 ประทับอยู่และแต่ละเดือนพนักงานของจำเลยที่ 1 ได้นำดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ14.5 ต่อปีของต้นเงินตามเช็คแต่ละฉบับมามอบให้แก่โจทก์เพื่อเป็นค่าผลประโยชน์ตอบแทนในการที่โจทก์ฝากเงินกับจำเลยที่ 1 พฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 รับฝากเงินและลงลายมือชื่อสั่งจ่ายเช็คได้กระทำในฐานะตัวแทนผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1ฉะนั้นจำเลยที่ 1 ในฐานะตัวการจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 2 และที่ 3 คืนเงินฝากตามเช็คพร้อมทั้งดอกเบี้ยแก่โจทก์ ปรากฏว่าจำเลยทั้งสามผิดสัญญาไม่ชำระดอกเบี้ยเงินฝากตามเช็คทั้งสี่ฉบับแก่โจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2527 และเมื่อเช็คทั้งสี่ฉบับถึงกำหนดชำระโจทก์นำเช็คทั้งสี่ฉบับเข้าบัญชีของโจทก์ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาเยาวราช เพื่อเรียกเก็บเงินตามเช็ค ปรากฏว่าธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน เป็นเหตุให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่ได้รับคืนเงินฝากจำนวน 1,400,000 บาท รวมต้นเงินและดอกเบี้ยเป็นเงินทั้งสิ้น1,626,683.32 บาท ขอให้บังคับให้จำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินจำนวน1,626,683.32 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,400,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันชำระเสร็จให้แก่โจทก์
จำเลยที่ 1 ให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยรับฝากเงินจำนวน1,400,000 บาทจากโจทก์ และที่ทำการของจำเลยที่ 1 ไม่เคยเปิดทำการเพื่อรับฝากเงินจากประชาชนโดยการออกเช็คเพื่อชำระเงินคืนตามฟ้องของโจทก์ แต่ที่ทำการของจำเลยที่ 1 เปิดทำการเพื่อรับเงินหรือกู้ยืมเงินจากประชาชน โดยจำเลยที่ 1 จะต้องออกเอกสารการกู้ยืมหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้โดยไม่จ่ายส่วนลดเท่านั้น จำเลยที่ 1ไม่เคยออกเช็คสี่ฉบับตามฟ้อง เพื่อชำระเงินคืนให้แก่โจทก์ แต่เป็นเช็คที่ธนาคารมอบให้แก่จำเลยที่ 2 และที่ 3 เนื่องจากจำเลยที่ 2ที่ 3 ได้เปิดบัญชีเป็นการส่วนตัวไว้กับธนาคารตามเช็ค เพื่อใช้ในกิจการส่วนตัวของจำเลยที่ 2 ที่ 3 โดยไม่ได้เกี่ยวข้องกับกิจการของจำเลยที่ 1 หากเป็นเช็คของจำเลยที่ 1 สั่งจ่ายเพื่อใช้ในกิจการของจำเลยที่ 1 จะต้องมีการประทับตราสำคัญของจำเลยที่ 1 ทุกครั้งจำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ได้รับอนุญาตจากกระทรวงการคลังให้ประกอบกิจการประเภทบริษัทเงินทุน จำเลยที่ 1 ย่อมมีสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายภายในขอบเขตวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ตามที่กำหนด จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพียง 2 ประการคือ 1. ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนา 2. ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการเคหะ จำเลยที่ 1 มีวัตถุประสงค์เพียงการกู้ยืมหรือรับเงินจากประชาชน โดยจะต้องออกเอกสารการกู้ยืมเงินหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้ตามพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ พ.ศ. 2522 แก้ไขเพิ่มเติมพ.ศ. 2526 และตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชน และการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่บริษัทเงินทุนอาจจ่ายหรืออาจเรียกได้ เท่านั้น จำเลยที่ 1 จึงไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับฝากเงินจากประชาชนเพราะขัดต่อกฎหมายดังกล่าว และขัดต่อพระราชบัญญัติการธนาคารพาณิชย์ พ.ศ. 2505 มาตรา 4 และมาตรา 8 หากจำเลยที่ 2 และที่ 3 ร่วมกันรับฝากเงินจากโจทก์ จำเลยที่ 2 และที่ 3 มิได้กระทำการภายในขอบอำนาจวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ไม่เคยมอบหมายหรือมอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นตัวแทนผู้มีอำนาจรับฝากเงินจากโจทก์แล้วออกเช็คชำระเงินคืนให้แก่โจทก์ และจำเลยที่1 ก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆ เกี่ยวกับการรับฝากเงินดังกล่าว ทั้งจำเลยที่ 1 ไม่เคยให้สัตยาบันและไม่อาจให้สัตยาบันได้ นอกจากนี้ตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทยได้กำหนดให้จำเลยที่ 1 เมื่อกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชนแล้วให้จำเลยที่ 1 ออกเอกสารการกู้ยืมเงินหรือออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่ผู้ให้กู้ โดยไม่จ่ายส่วนลดเท่านั้น ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับรู้วัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 และข้อกำหนดของธนาคารแห่งประเทศไทยแล้ว โจทก์ย่อมทราบดีว่าเมื่อจำเลยที่ 1 รับเงินจากโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 จะต้องออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ มิใช่ออกเช็คตามฟ้อง รวมทั้งในตั๋วสัญญาใช้เงินที่จำเลยที่ 1 ออกให้นั้นจะต้องประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ด้วยและจำเลยที่ 1 จะต้องจ่ายดอกเบี้ยตามที่กำหนดไว้ในตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ โดยโจทก์จะต้องเสียภาษีเงินได้จากดอกเบี้ยให้แก่รัฐโจทก์เคยนำเงินให้จำเลยที่ 1 กู้ยืม และจำเลยที่ 1 ออกตั๋วสัญญาใช้เงินให้แก่โจทก์ รวมทั้งได้จ่ายดอกเบี้ยให้แก่โจทก์ แต่การที่โจทก์นำเงินฝากกับจำเลยที่ 2 ที่ 3 เพื่อผลประโยชน์ของโจทก์เองในการที่จะได้รับดอกเบี้ยในอัตราสูง และไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ให้แก่รัฐจึงเป็นเรื่องที่โจทก์ยอมเสี่ยงภัยด้วยตนเอง อย่างไรก็ดีที่ทำการของจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ประกอบกิจการส่วนตัวของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ด้วย โดยร่วมกับผู้อื่นประกอบธุรกิจซื้อขายลดเช็คและประกอบธุรกิจเกี่ยวกับการเล่นแชร์เปียหวย ซึ่งไม่เกี่ยวกับกิจการของจำเลยที่ 1 คดีนี้จำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้ซื้อขายลดเช็คจากโจทก์อันเป็นกิจการส่วนตัวของจำเลยที่ 2 และที่ 3จำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่เคยทวงถามให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ หากจำเลยที่ 1 จะต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 1ก็ไม่ต้องใช้ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปีของต้นเงิน โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยเพียงอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเท่านั้น
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ในระหว่างพิจารณา โจทก์ขอถอนฟ้องจำเลยที่ 2 เนื่องจากศาลแพ่งมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 2 เป็นบุคคลล้มละลายในคดีอื่น ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ 1 และที่ 3 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 1,400,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีจากต้นเงิน 500,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 13 มีนาคม 2527 จากต้นเงิน800,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2527 และจากต้นเงิน100,000 บาท นับตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2527 จนถึงวันชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว คดีมีประเด็นว่า จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำฟ้องหรือไม่ จำเลยที่ 1 ต่อสู้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเนื่องจากจำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ที่ 3 กระทำไปเป็นส่วนตัว ข้อนี้ ศาลฎีกาได้พิจารณาแล้ว ได้ความว่าจำเลยที่ 1เป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด มีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการจำเลยที่ 3 เป็นกรรมการผู้หนึ่งด้วย จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 ได้ตามข้อบังคับของจำเลยที่ 1 ทั้งนี้จำเลยที่ 1มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการเงินทุนเพื่อการพัฒนาและเพื่อการเคหะจำเลยที่ 1 สามารถจะกู้ยืมเงินและรับเงินจากประชาชนโดยตกลงจ่ายดอกเบี้ยไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี อันเป็นวิธีการจัดหามาซึ่งเงินทุนตามประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เอกสารหมาย ล.36 ทั้งปรากฏจากทางนำสืบของจำเลยที่ 1 ว่า จำเลยที่ 1 ได้เปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันเลขที่ 13599 ไว้ที่ธนาคารมหานคร สำนักงานใหญ่ ได้ให้ตัวอย่างลายมือชื่อผู้มีอำนาจเบิกเงินและสั่งจ่ายเช็คไว้รวม 6 คน คือนายมงคลเนียมก้องกิจ นางศิริวรรณ อัศวเนตรมณี นางสาวกาญจนา อัศวเนตรมณีนางประดับ บุญสุวรรณ และจำเลยที่ 2 กับที่ 3 แต่ก็ปรากฏว่าบุคคลทั้งหกนี้ได้เปิดบัญชีกระแสรายวันไว้ที่ธนาคารเดียวกันนั้นอีกบัญชีหนึ่งคือบัญชีเลขที่ 16859 ระบุบุคคลผู้มีอำนาจเบิกเงินและสั่งจ่ายเช็คเช่นเดียวกับบัญชีเลขที่ 13599 การเปิดบัญชีทั้งสองนั้นกระทำโดยบุคคลที่เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 ชุดเดียวกัน ผิดกันเพียงว่าประทับตราหรือไม่ต้องประทับตราของจำเลยที่ 1 เท่านั้น ดังนี้ จึงเห็นได้ตั้งแต่ต้นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นผู้มีอำนาจกระทำการแทนจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยที่ 3 เป็นกรรมการของจำเลยที่ 1 รับเงินตามคำฟ้องจากโจทก์ในฐานะตำแหน่งดังกล่าว ณ ที่ทำการของจำเลยที่ 1 ถึงกำหนดเวลาชำระดอกเบี้ยก็มีพนักงานของจำเลยที่ 1 นำดอกเบี้ยไปชำระให้แก่โจทก์ วัสดุซองเอกสารที่ส่งให้แก่โจทก์ก็เป็นของจำเลยที่ 1 เมื่อโจทก์สงสัยสิ่งใดก็สอบถามไปที่พนักงานของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 2 ณ ที่ทำการของจำเลยที่ 1 ก็ได้รับแจ้งว่า จำเลยที่ 2ที่ 3 ออกเช็คตามคำฟ้องแทนจำเลยที่ 1 นอกจากนั้นยังได้ความจากพยานอื่น ๆ ของโจทก์อีกว่า จำเลยทั้งสามปฏิบัติต่อเจ้าของเงินที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับเงินของเขามารายอื่น ๆ เช่นเดียวกับที่ปฏิบัติต่อโจทก์ด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 เป็นบริษัทซึ่งเป็นนิติบุคคล เจตนาของนิติบุคคลย่อมแสดงออกทางผู้แทนของนิติบุคคล เมื่อผู้แทนของนิติบุคคลได้แสดงเจตนาซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ในทางการดำเนินกิจการตามวัตถุประสงค์ของนิติบุคคล ต้องถือว่าเป็นเจตนาของนิติบุคคลและผูกพันนิติบุคคล พฤติการณ์ของจำเลยทั้งสามทำให้บุคคลภายนอกโดยทั่วไปเชื่อว่า การกระทำของจำเลยที่ 2 ที่ 3 เป็นการกระทำแทนจำเลยที่ 1ตลอดมา โจทก์มิได้ตกลงหรือรู้เห็นด้วยว่าการกระทำของจำเลยที่ 2ที่ 3 เป็นการฝ่าฝืนประกาศธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่องการกำหนดให้บริษัทเงินทุนปฏิบัติในการกู้ยืมเงินหรือรับเงินจากประชาชนและการกำหนดอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดที่บริษัทเงินทุนอาจจ่ายหรืออาจเรียกได้ จึงมิใช่นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมายอันจะเป็นการนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยที่ 1 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับเงินจากโจทก์แล้วไม่ได้มอบหรือนำเงินเข้าบัญชีให้จำเลยที่ 1 ย่อมเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนไม่ส่งมอบทรัพย์สินที่ได้มาแก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ และแม้หากตัวแทนหรือเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ 1 จะอาศัยตำแหน่งหน้าที่อ้างชื่อของจำเลยที่ 1 หาประโยชน์ใส่ตัวดังที่จำเลยที่ 1 ต่อสู้หรือไม่ก็ตาม จำเลยที่ 1ก็จะอ้างเอาการที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ซึ่งเป็นตัวแทนของตนกระทำการทุจริต หรือไม่ส่งมอบเงินแก่ตนนั้นมาบอกปัดความรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้สุจริตหาได้ไม่ จำเลยที่ 1 มีหน้าที่ต้องรับผิดต่อโจทก์ตามคำฟ้อง…”
พิพากษายืน.