คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1148/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

แพทย์ผู้ตรวจบาดแผลผู้เสียหายยืนยันว่า บริเวณที่กระดูกสันหลังผู้เสียหายหักไม่ใช่บริเวณที่ถูกตี การที่กระดูกสันหลังหักเข้าใจว่าเกิดจากการล้มก้นกระแทกพื้นทำให้ข้อต่อกระดูกสันหลังได้รับการกระแทก และในวันเกิดเหตุก็ตรวจศีรษะผู้เสียหายซึ่งผู้เสียหายบอกว่าถูกตีแต่ไม่ปรากฏร่องรอยการถูกตีอย่างชัดเจน ถ้าผู้เสียหายถูกตีถึงขนาดทำให้กระดูกสันหลังหักก็จะต้องมีรอยฟกช้ำเห็นได้โดยชัดเจน เมื่อไม่ปรากฏร่องรอยดังกล่าว จึงฟังไม่ได้ว่าผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บจากการถูกจำเลยทำร้าย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 297 ริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามมาตรา 297 (ที่ถูกประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 297) จำคุก 3 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามที่โจทก์ฟ้อง ผู้เสียหายได้รับบาดเจ็บตามผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยเป็นผู้ทำร้ายผู้เสียหายหรือไม่โจทก์มีผู้เสียหายกับนางบังอร คำออน บุตรของผู้เสียหายเป็นพยานยืนยันว่า จำเลย เป็นผู้ทำร้ายผู้เสียหาย เหตุที่จำเลยทำร้ายผู้เสียหายนั้น เพราะผู้เสียหายจะไปเอากระเทียมจากสามีของจำเลยเพื่อใช้เพื่อแทนเงินที่สามีของจำเลยยืมไปจากผู้เสียหายและยังไม่ใช้คืน เป็นเงิน 1,200 บาท โดยผู้เสียหายเบิกความว่าจำเลยคว้าไม้ตีผู้เสียหายทันทีเมื่อผู้เสียหายบอกว่าจะมาเอากระเทียมศาลฎีกาเห็นว่าการจะทำร้ายกันเช่นนั้นน่าจะต้องมีการทะเลาะวิวาทกันก่อน คำเบิกความของผู้เสียหายขัดต่อเหตุผลเช่นนี้จึงไม่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือรับฟังไม่ได้ ส่วนนางบังอรบุตรผู้เสียหายนั้นปรากฏว่าขณะเกิดเหตุอยู่ที่เหตุอยู่ที่บ้านผู้เสียหายห่างออกไปประมาณ40 เมตร มีรั้วกั้น เหนือรั้วมีต้นไม้ตามภาพถ่ายหมาย ล.1ไม่น่าจะเห็นเหตุการณ์ดังได้เบิกความต่อศาล นางบังอรเป็นบุตรของผู้เสียหายย่อมเบิกความเข้าข้างกันหามีน้ำหนักไม่ นอกจากนี้คำเบิกความของผู้เสียหายกับนางบังอรยังมีข้อแตกต่างกันในส่วนสำคัญคือผู้เสียหายว่าถูกตีที่หลัง แต่นางบังอรว่าเห็นผู้เสียหายถูกตีที่เอว ฝ่ายจำเลยมีพยานหลายปากเป็นพยานว่าจำเลยไม่ได้ตีผู้เสียหาย ผู้เสียหายล้มลงกระแทกพื้นเอง ซึ่งสอดคล้องกับคำเบิกความของนายแพทย์สมจิตร์ พงษ์ชัยสิทธิ์ พยานโจทก์ซึ่งเป็นแพทย์ผู้ตรวจบาดแผลผู้เสียหายในวันเกิดเหตุว่า บริเวณที่กระดูกสันหลังหักสามารถบอกได้ว่าไม่ใช่บริเวณที่ถูกตีการที่กระดูกสันหลังหักเข้าใจว่าเกิดจากการล้มก้นกระแทกพื้นทำให้ข้อต่อกระดูกสันหลังได้รับการกระแทก ในวันดังกล่าวพยานได้ตรวจศีรษะผู้เสียหายซึ่งผู้เสียหายบอกว่าถูกตีด้วย แต่ไม่ปรากฏร่องรอยการถูกตีอย่างชัดเจน เห็นว่าถ้าผู้เสียหายถูกตีถึงขนาดทำให้กระดูกสันหลังหักดังที่โจทก์นำสืบจริงก็จะต้องมีรอยฟกช้ำเห็นได้โดยชัดเจน เมื่อไม่ปรากฏร่องรอยดังกล่าว ข้อเท็จจริงจึงยังรับฟังไม่ได้ว่าเป็นดังโจทก์นำสืบพยานหลักฐานในสำนวนดังได้วินิจฉัยมาศาลฎีกาเห็นว่า ผู้เสียหายมิได้รับบาดเจ็บจากการถูกจำเลยทำร้ายร่างกาย ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share