คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2503

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยืนยันให้กำนันยึดรถยนต์บรรทุกของโจทก์ซึ่งรับจ้างบรรทุกข้าวเปลือก โดยจำเลยหาว่าผู้ว่าจ้างบรรทุกข้าวเปลือกนั้นลักข้าวเปลือกของจำเลยไว้โดยไม่มีความจำเป็นและเป็นการจงใจแกล้งโจทก์โดยไม่สุจริต กำนันจึงยึดรถของโจทก์ไว้ 39 วัน ดังนี้ การกระทำของจำเลยได้ชื่อว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์กำนันจะยึดรถไว้โดยอาศัยอำนาจของตนเองในฐานเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจเช่นว่านั้น หรือไม่ไม่สำคัญ เมื่อโจทก์ฟ้องในทางแพ่งและจำเลยได้ละเมิดสิทธิของโจทก์แล้ว จำเลยก็ต้องรับผิดต่อโจทก์ในทางแพ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 (ควรเทียบดูกับฎีกาที่ 320/2503) (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 22/2503)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้แจ้งให้กำนันจับรถยนต์บรรทุกของโจทก์ยึดไว้ 39 วัน โดยจำเลยหาว่านางเน้ยเป็นคนร้ายลักข้าวที่รถโจทก์รับจ้างบรรทุกนั้น ทั้งที่คนรถของโจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า รถคันนี้เป็นของโจทก์ เพียงแต่มารับจ้างไม่เกี่ยวข้องกับข้าวเปลือกซึ่งจำเลยกับนางเน้ยโต้เถียงสิทธิกันขออย่าให้ยึดรถไว้เลย จำเลยก็ไม่ยอม กลับแจ้งให้กำนันยึดรถของโจทก์ไว้ เป็นการจงใจหน่วงเหนี่ยวใช้สิทธิไม่สุจริต เป็นเหตุให้โจทก์เสียหายและเสียเวลาซ่อมรถอีก 16 วัน ขอให้จำเลยรับผิดฐานละเมิด ให้ใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์รวม 47,350 บาท กับดอกเบี้ย

จำเลยต่อสู้ว่า มิได้แจ้งให้กำนันยึด อำนาจที่จะยึดของกลางตกอยู่แก่กำนันผู้เป็นเจ้าหน้าที่ที่จะใช้ดุลพินิจยึดหรือไม่ยึดตามกฎหมายและตามหน้าที่ จำเลยไม่มีอำนาจที่จะสั่งการเองได้

ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยแจ้งกำนันให้จับนางเน้ยหาว่าลักข้าวเปลือกของจำเลย และกำนันได้ยึดรถที่บรรทุกข้าวเปลือกรายนี้ไว้ 39 วัน ในคดีอาญาที่จำเลยหาว่านางเน้ยลักข้าวเปลือกของจำเลยนั้นศาลพิพากษายกฟ้อง จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ในทางแพ่ง ในการที่รถของโจทก์ถูกยึดอยู่ 39 วัน และต้องเสียเวลาซ่อมรถอีก 16 วันศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์เป็นเงิน 25,250 บาทกับดอกเบี้ย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การที่กำนันและพนักงานสอบสวนยึดรถและข้าวเปลือกไว้เป็นของกลางนั้น เป็นเรื่องใช้ดุลพินิจตามอำนาจหน้าที่ จำเลยไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ แม้รถจะเป็นของโจทก์ก็ดีพิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า รถเป็นของโจทก์และจำเลยเป็นผู้ยืนยันให้กำนันยึดรถซึ่งมิใช่เป็นของนางเน้ยผู้ต้องหามาเป็นของกลางโดยไม่มีความจำเป็นและเป็นการจงใจแกล้งโจทก์โดยไม่สุจริตดังนี้ การกระทำของจำเลยก็ได้ชื่อว่าเป็นการละเมิดต่อโจทก์ จำเลยจะต้องรับผิดต่อโจทก์ในทางแพ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420

ศาลฎีกาเห็นสมควรอธิบายข้อกฎหมายเปรียบเทียบกับคดีอาญาตามฎีกาที่ 320/2503 ในคดีนั้นศาลฟังว่า จำเลยเอาเครื่องมือทำสตางค์ปลอมไปซุกใส่ไว้ที่บ้านผู้เสียหาย แล้วไปแจ้งให้เจ้าหน้าที่ไปค้น เป็นผลให้ผู้เสียหายถูกจับกุม แต่ศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยไม่มีความผิดฐานทำให้ผู้เสียหายเสื่อมเสียอิสรภาพ ทั้งนี้ โดยการกระทำของจำเลยหากจะเป็นผิดก็ผิดตามตัวบทซึ่งกฎหมายบัญญัติฐานความผิดไว้โดยเฉพาะแล้ว การที่เจ้าพนักงานจับกุมผู้เสียหาย เจ้าพนักงานได้ทำไปตามอำนาจของเจ้าพนักงาน จำเลยจึงหาได้ผิดฐานทำให้เสื่อมเสียอิสรภาพไม่ แต่ถ้าจะว่าในทางแพ่งแล้ว การกระทำเช่นว่านี้ของจำเลยไม่ว่าจะผิดฐานใดในทางอาญาก็คงเป็นละเมิดในทางแพ่งเช่นเดียวกันฉะนั้น ในคดีนี้กำนันจะยึดรถไว้โดยอาศัยอำนาจของตนในฐานเป็นเจ้าพนักงานมีอำนาจเช่นว่านั้นหรือไม่ ไม่สำคัญ เมื่อโจทก์ฟ้องในทางแพ่ง และจำเลยได้ละเมิดสิทธิของโจทก์แล้ว จำเลยก็ต้องรับผิดในทางนั้น

ศาลฎีกาพิพากษากลับศาลอุทธรณ์ ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดแก่โจทก์เป็นเงินรวม 16,700 บาท และดอกเบี้ย

Share