แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถยนต์ยี่ห้อดัทสันกะบะขนาด 1300 ซีซี ของโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างก็ถูกคนร้ายลักไป โจทก์แจ้งความไว้กับพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลยานนาวา จำเลยที่ 1 แจ้งความไว้กับจำเลยที่ 2 พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจท่าเรือกรุงเทพ ซึ่งจำเลยที่ 3 เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวน ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลจับคนร้ายลักรถยนต์ได้ ได้รถยนต์ของกลางซึ่งตัวถังเป็นของโจทก์แต่ถูกพ่นสีเปลี่ยนไปจากสีเดิม สารวัตรสืบสวนสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลบุบผารามพิจารณาแล้วเชื่อว่าเป็นรถคันที่หายที่ได้แจ้งความไว้ที่สถานที่ตำรวจท่าเรือกรุงเทพ จึงมอบรถให้จำเลยที่ 2 ไปดำเนินคดี จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่ทราบก่อนว่าโจทก์โต้แย้งกรรมสิทธิ์เกี่ยวกับตัวถังรถยนต์ของกลาง เชื่อโดยสุจริตว่ารถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยที่ 1 จึงมอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 รับไปรักษา ซึ่งเป็นการกระทำไปตามอำนาจหน้าที่ การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 มอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ 1 ไปดังกล่าว จึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์
จำเลยที่ 1 ไม่ทราบมาก่อนว่าโจทก์โต้แย้งกรรมสิทธิ์เกี่ยวกับตัวถังรถยนต์ของกลาง ขณะรับรถยนต์ของกลางไว้เชื่อโดยสุจริตใจว่ารถยนต์ของกลางทั้งคันเป็นของจำเลยที่ 1 การที่จำเลยที่ 1 รับรถยนต์ของกลางไว้และซ่อมใช้รถนี้โดยปกติธุระจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์เช่นเดียวกัน แต่ต่อมาเมื่อคดีอาญาถึงที่สุดศาลพิพากษาว่าตัวถังรถยต์ของกลางเป็นของโจทก์ โจทก์ได้ฟ้องเรียกตัวถังคืนจากจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องของโจทก์ตามกฎหมายแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ทราบแล้วว่าตัวถังรถยนต์ของกลางเป็นของโจทก์ซึ่งจะต้องคืนให้โจทก์ แต่จำเลยยังไม่คืนให้โจทก์ยังคงใช้ตัวถังรถยนต์ของโจทก์อยู่ตลอดมา จำเลยที่ 1 จึงตกอยู่ในฐานะทุจริตตั้งแต่วันที่ได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องตามกฎหมาย จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดฐานะละเมิดต่อโจทก์ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นไป
จำเลยที่ 1 ควรรับผิดในความเสื่อมสภาพของตัวถังและเค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้ตัวถังรถพิพาทเพียงใดนั้น ควรคำนึงพฤติการณ์แห่งความเป็นจริงของตัวทรัพย์นั้นด้วยว่า เจ้าของทรัพย์นั้นพอจะบรรเทาความเสียหายที่ไม่ได้ใช้ทรัพย์นั้นโดยหาตัวทรัพย์เช่นนั้นมาชดใช้แทนความเสียหายอันพึงเกิดขึ้นนั้นได้หรือไม่เพียงไร เป็นเหตุผลประกอบด้วยคดีนี้โจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ไม่สามารถจะหาซื้อตัวถังรถยนต์อื่นมาใช้แทนเพื่อประกอบกับเครื่องยนต์ของโจทก์ที่ถูกลักไปและได้รับคืนมา เพื่อโจทก์จะมีรถยต์ไว้ใช้ต่อไป การจะกำหนดให้จำเลยที่ 1 รับผิดใช้ค่าเสียหาย ค่าเสื่อมราคาต่อโจทก์เกินกว่าราคาตัวถังรถพิพาทตามที่โจทก์เรียกร้องมานั้นเป็นการขัดต่อเหตุผลและความเป็นธรรม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า รถยนต์ยี่ห้อดัทสันบรรทุกสีเขียวขนาด ๑๓๐๐ ซีซี ของโจทก์ที่ ๑ คันหายไปได้ร้องทุกข์ไว้แล้ว ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบุบผารามจับคนร้ายได้พร้อมรถยนต์ของโจทก์ที่ถูกลักไป แต่สภาพรถบางส่วนถูกดัดแปลงแก้ไข และเอาเครื่องยนต์ใหม่มาใส่แทนเครื่องยนต์เก่าของโจทก์ คนร้ายที่ลักรถถูกฟ้องต่อศาลอาญา ๒ คดี โดยโจทก์เป็นผู้เสียหายคดีหนึ่ง จำเลยที่ ๑ เป็นผู้เสียหายคดีหนึ่ง เครื่องยนต์ของรถโจทก์ได้คืนมาแล้ว แต่ตัวถังไม่ได้คืน เพราะจำเลยที่ ๑ โต้แย้งกรรมสิทธิ์รถคันนี้และจำเลยที่ ๑ ได้ร้องทุกข์ไว้กับจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ รับรถนั้นมาแล้วคืนให้แก่จำเลยที่ ๑ ไป
จำเลยที่ ๑ ทราบดีอยู่แล้วว่าตัวถังรถคันดังกล่าวมิใช่ของจำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๒ เป็นพนักงาานสอบสวนสถานีตำรวจท่าเรือกรุงเทพผู้รับผิดชอบเกี่ยวกับรถยนต์คันดังกล่าวปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบคืนตัวถังรถยนต์ของโจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ไป จำเลยที่ ๓ เป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับคดีรถยนต์คันดังกล่าวจึงต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๒ ด้วย การกระทำของจำเลยทั้งสามทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย คือตัวถังรถยนต์ขณะหายมีราคาประมาณ ๑๘,๐๐๐ บาท จำเลยที่ ๑ เอาไปใช้ทำให้เสื่อมคุณภาพลง ๕,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่สามารถใช้ตัวถังรถยนต์ไปใช้ธุรกิจขนส่งสินค้า ต้องจ้างรถบุคคลอื่นมาใช้เสียค่าจ้างไปถึงวันฟ้อง ๕๖,๕๕๐ บาท ขอให้พิพากษาให้จำเลยทั้งสามคืนตัวถังรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ ถ้าคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ให้ใช้ค่าเสียหาย ๖๑,๕๕๐ บาท และวันละ ๑๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะคืนตัวถังรถยนต์ให้โจทก์เสร็จ
จำเลยทั้งสามให้การและแก้ไขคำให้การว่า รถยนต์ของจำเลยที่ ๑ หายไป จำเลยที่ ๑ แจ้งความต่อจำเลยที่ ๒ จำเลยที่ ๒ ได้คืนรถยนต์ของจำเลยที่ ๑ ที่หายให้จำเลยที่ ๑ เพื่อเก็บรักษาเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย ขณะคืนไปนั้นโจทก์ทราบแต่ไม่โต้แย้งกรรมสิทธิ์ เพิ่งมาโต้แย้งภายหลัง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ตัวถังรถยนต์คันพิพาทไม่มีกระจกบังลมข้างหน้าและกระจกหูข้างด้านซ้าย ไม่มีป้ายเลขทะเบียน ราคา ๑๗,๕๐๐ บาท เป็นของโจทก์จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีอำนาจโดยชอบที่จะคืนตัวถังรถยนต์พิพาทให้จำเลยที่ ๑ รับไปรักษาได้ ขณะคืนไม่ทราบว่ามีผู้โต้แย้งกรรมสิทธิ์รถยนต์คันพิพาท จำเลยที่ ๑ รับรถคันพิพาทไปเนื่องจากการใช้ดุลพินิจของจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จำเลยทั้งสามจึงมิได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายที่ไม่ได้ใช้รถ แต่จำเลยที่ ๑ รับรถพิพาทไปซ่อมและใช้งานอยู่ทุกวันโดยไม่มีอำนาจเป็นเวลา ๒ ปีกว่า จึงพิพากษาให้จำเลยทั้งสามร่วมกันคืนตัวถังรถยนต์ตามสภาพที่เป็นอยู่ให้โจทก์ ถ้าไม่อาจส่งคืนให้ใช้ราคา ๑๗,๕๐๐ บาท ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสื่อมราคา ๕,๐๐๐ บาท คำขอนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า ตัวถังรถพิพาทเป็นของโจทก์ จำเลยทั้งสามมิได้ทำละเมิดต่อโจทก์ จำเลยที่ ๑ ซ่อมและใช้งานเพื่อให้ตัวถังอยู่ในสภาพปกติโดยสุจริต เข้าใจว่าตัวถังรถเป็นของตน โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องค่เสื่อมสภาพของตัวถังรถ พิพากษาแก้ว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ต้องใช้ค่าเสื่อมราคาของตัวถังรถพิพาท ให้ยกฟ้องโจทก์ที่ ๒ ที่ ๓
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จริงว่า รถยนต์ยี่ห้อดัทสันกะบะขนาด ๑๓๐๐ ซีซี ของโจทก์และของจำเลยที่ ๑ ต่างถูกคนร้ายลักไป โจทก์แจ้งความไว้ต่อร้อยตำรวจโทสมพจน์ ศุภวโรดม พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลยานนาวา จำเลยที่ ๑ แจ้งความไว้ต่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งรับราชการเป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจท่าเรือกรุงเทพ ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบุบผารามจับคนร้ายลักรถยนต์และได้รถยต์เป็นของกลาง โจทก์และจำเลยที่ ๑ ไปดูรถยนต์ของกลางซึ่งรถคันของกลางนี้ถูกพ่นสีตัวถังรถเปลี่ยนจากสีเดิม โจทก์แจ้งแก่พันตำรวจตรีพจน์ พัฒนผลินทร์ ว่าเฉพาะตัวถังรถยนต์ของกลางเป็นของโจทก์ ส่วนจำเลยที่ ๑ แจ้งว่ารถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยที่ ๑ พันตำรวจตรีพจน์พิจารณาหลักฐานข้อเท็จจริงแล้วมีความเห็นว่าน่าเชื่อว่ารถยนต์ของกลางเป็นรถที่จำเลยที่ ๑ ได้แจ้งหายไว้ที่สถานีตำรวจท่าเรือกรุงเทพ จึงคืนรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ ๒ พนักงานสอบสวนรับไปดำเนินคดีเมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๔ ตามที่จำเลยที่ ๒ มีหนังสือขอรับรถยนต์ของกลางเพื่อไปดำเนินคดี แล้วในวันเดียวกันกับที่จำเลยที่ ๒ รับรถยนต์ของกลางไปนั้น จำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๓ ในฐานะพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจท่าเรือกรุงเทพได้มอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ ๑ รับไปรักษาไว้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พยานโจทก์ที่นำสืบมาฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้โต้แย้งสิทธิถึงตัวถังรถยนต์พิพาทที่ติดกับรถของกลางว่าเป็นของโจทก์ให้จำเลยทั้งสามทราบไว้ก่อนที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ จะได้มอบรถยนต์คันของกลางให้จำเลยที่ ๑ รับไปรักษาไว้ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ในฐานะพนักงานสอบสวนเมื่อได้รับรถยนต์ของกลางมาดำเนินคดี โดยจำเลยที่ ๑ อ้างว่ารถยนต์ของกลางเป็นของจำเลยที่ ๑ ที่แจ้งว่าถูกลักไปนั้นโดยไม่มีผู้ใดโต้แย้งกรรมสิทธิ์ให้จำเลยที่ ๑ รับไปรักษาไว้ จึงเป็นเรื่องที่กระทำไปตามอำนาจหน้าที่ที่เชื่อโดยสุจริตใจว่ารถยนต์ของกลางทั้งคันเป็นของจำเลยที่ ๑ มิใช่ว่าจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ แกล้งกระทำที่มุ่งต่อผล โดยรู้อยู่แล้วว่าความจริงตัวถังรถยนต์พิพาทซึ่งติดกับรถยนต์ของกลางนั้นเป็นของโจทก์ แต่ยังมอบให้จำเลยที่ ๑ ไป อันจะทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายได้ ฉะนั้น การที่จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มอบรถยนต์ของกลางให้จำเลยที่ ๑ ไปดังกล่าวจึงไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ และในขณะที่จำเลยที่ ๑ ได้รับรถยนต์ของกลางไปจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ นั้น โจทก์ก็นำสืบฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้รู้อยู่แล้วว่าตัวถังรถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์แต่ยังรับไว้โดยละเมิดสิทธิ์โจทก์ ฉะนั้น ที่จำเลยที่ ๑ รับรถยนต์ของกลางไว้ แม้จะปรากฏความจริงต่อมาว่าตัวถังรถยนต์พิพาทนั้นเป็นของโจทก์ แต่ขณะจำเลยที่ ๑ ได้รับรถยนต์ของกลางดังกล่าวไว้ โดยจำเลยที่ ๑ เชื่อโดยสุจริตใจว่ารถยนต์ของกลางทั้งคันนั้นเป็นของจำเลยที่ ๑ เมื่อจำเลยที่ ๑ รับรักษาไว้และซ่อมใช้รถนี้โดยปกติธุระ การกระทำของจำเลยที่ ๑ จึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์เช่นกัน
ส่วนในระยะเวลาหลังจากนั้นต่อมา เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้รับตัวถังรถยนต์พิพาทซึ่งติดกับรถยนต์ของกลางไว้โดยสุจริต จำเลยที่ ๑ ย่อมจะใช้ตัวถังรถยนต์พิพาทซึ่งติดอยู่กับรถยนต์ของกลางได้ตลอดเวลาที่จำเลยที่ ๑ ได้รับไว้โดยสุจริตอยู่ แต่เมื่อใดจำเลยที่ ๑ รู้ว่าตัวถังรถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์แล้วจำเลยที่ ๑ ก็ต้องคืนตัวถังรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิจะได้รับคืน ในเมื่อผู้เป็นเจ้าของเรียกร้องคืน โดยนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๖ มาใช้บังคับ ศาลอาญาพิพากษาว่าตัวถังรถยนต์ของกลางเป็นของโจทก์ แม้คดีอาญาจะถึงที่สุดแล้ว แต่โจทก์ก็มิได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยที่ ๑ ได้ทราบว่าตัวถังรถยนต์พิพาทเป็นของโจทก์แล้วนั้นแต่เมื่อไร แต่โจทก์ได้ฟ้องเรียกตัวถังรถพิพาทคืนจากจำเลยที่ ๑ เป็นคดีนี้ โดยได้ปิดหมายเรียกและสำเนาฟ้องให้จำเลยที่ ๑ ทราบเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม ๒๕๑๕ จึงถือว่าจำเลยที่ ๑ ได้รับหมายเรียกและสำเนาฟ้องของโจทก์ตามกฎหมายเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕ ในกรณีโจทก์ใช้สิทธิเรียกตัวถังรถพิพาทคืน เหตุนี้จึงถือได้ว่าจำเลยที่ ๑ ได้รู้ว่าตัวถังรถยนต์พิพาทที่จำเลยที่ ๑ รับไปจากจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ เป็นของโจทก์แล้วแต่วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕ ซึ่งจำเลยที่ ๑ จะต้องคืนให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยที่ ๑ ไม่คืนให้แก่โจทก์ แต่ยังใช้ตัวถังรถยนต์พิพาทของโจทก์อยู่ตลอดมา จึงต้องถือว่าจำเลยที่ ๑ ตกอยู่ในฐานะทุจริตนับแต่วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕ นั้นแล้ว จำเลยที่ ๑ จึงต้องรับผิดฐานะละเมิดต่อโจทก์นับแต่วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๑๕ เป็นต้นไป แต่จำเลยที่ ๑ ควรรับผิดในความเสื่อมสภาพตัวถังรถพิพาทและค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้ตัวถังรถพิพาทเพียงใดนั้น ศาลฎีกาได้พิเคราะห์แล้วเห็นว่า ตัวถังรถพิพาทนั้นฟังได้ว่ามีราคา ๑๗,๕๐๐ บาท การจะสมควรให้ผู้กระทำผิดฐานละเมิดในการที่ผู้เป็นเจ้าของทรัพย์ไม่ได้ใช้ทรัพย์ที่ถูกละเมิดเป็นค่าเสียหายเท่าใดนั้น เห็นว่าควรคำนึงถึงพฤติการณ์แห่งความเป็นจริงของตัวทรัพย์นั้นด้วยว่าเจ้าของทรัพย์นั้นพอจะบรรเทาความเสียหายที่ไม่ได้ใช้ทรัพย์นั้นโดยหาตัวทรัพย์เช่นนั้นมาชดใช้แทนความเสียหายอันถึงเกิดขึ้นนั้นได้หรือไม่เพียงไร เป็นเหตุผลประกอบด้วย เมื่อโจทก์มิได้นำสืบให้เห็นว่าโจทก์ไม่สามารถที่จะซื้อหาตัวถังรถยนต์อื่นมาใช้แทนเพื่อประกอบกับเครื่องยนต์ของโจทก์ที่ถูกลักไป และได้รับคืนมาแล้วนั้น เพื่อโจทก์จะมีรถยนต์ไว้ใช้ต่อไปได้ ฉะนั้น การจะกำหนดให้จำเลยที่ ๑ รับผิดใช้ค่าเสียหาย ค่าเสื่อมราคาต่อโจทก์เกินกว่าราคาตัวถังรถพิพาทตามที่โจทก์เรียกร้องมานั้น ย่อมเห็นได้ว่าขัดต่อเหตุผลและความเป็นธรรม
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสื่อมราคาตัวถังรถพิพาทและค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้ตัวถังรถพิพาทเป็นเงิน ๖,๐๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายในการที่โจทก์ไม่ได้ใช้ตัวถังรถยนต์พิพาทนับแต่วันทราบคำพิพากษาของศาลนี้อีกวันละ ๓๐ บาท เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยที่ ๑ คืนหรือใช้ราคาตัวถังรถพิพาทแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ค่าเสื่อมสภาพและค่าเสียหายรวมกันแล้วเป็นเงินไม่เกิน ๑๗,๕๐๐ บาท นอกจากที่แก้นี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์