คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3670/2542

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ผู้เสียหายฟ้องจำเลยทั้งสองขอแบ่งนามรดก และข้าวเปลือกเหนียวที่เก็บเกี่ยวได้จากนาพิพาท ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ผู้เสียหายและจำเลยทั้งสองได้ไปตกลงกันที่สถานีตำรวจว่า ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เอาข้าวเปลือกเหนียวที่ได้จากการทำนาพิพาทไปขาย แต่ยอมให้แต่ละฝ่ายเอาไปสีรับประทานได้ ผู้เสียหายทำผิดข้อตกลงดังกล่าว โดยผู้เสียหายเอาข้าวเปลือกเหนียวจำนวน50 ถุงปุ๋ย ไปให้ น. เพื่อเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่ผู้เสียหายยืมจาก น. มา จำเลยทั้งสองจึงปิดยุ้งข้าวพิพาทการกระทำของจำเลยทั้งสองก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ในทรัพย์พิพาท ซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีนั่นเอง ดังนั้น แม้จะปรากฏว่า จำเลยทั้งสองจะได้กวาดข้าวเปลือกเหนียวไปกองรวมไว้ ในยุ้งข้าวด้วยก็ตามพฤติการณ์การกระทำของจำเลยทั้งสอง ก็ขาดเจตนาทุจริต ไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ของแข็งงัดประตูทางเข้ายุ้งข้าวจนเปิดออกแล้วเข้าไปในยุ้ง อันเป็นการทำอันตรายสิ่งกีดกั้นสำหรับคุ้มครองทรัพย์ แล้วลักเอาข้าวเปลือกเหนียว 300 ถังของผู้เสียหาย ซึ่งเก็บไว้ในยุ้งข้าวดังกล่าวไปโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์จำนวน 12,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(4), 83(ที่ถูกมาตรา 335(3) วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83) จำคุกคนละ 1 ปี ปรับคนละ 2,000 บาท พิเคราะห์แล้ว เห็นว่า เป็นการกระทำผิดในระหว่างญาติใกล้ชิดกัน สภาพความผิดไม่ร้ายแรง ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้จำเลยทั้งสองคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ 12,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยทั้งสองกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าก่อนเกิดเหตุเมื่อต้นปี 2538 ผู้เสียหายได้ฟ้องจำเลยทั้งสองขอแบ่งนามรดก และข้าวเปลือกเหนียวที่เก็บเกี่ยวไว้จากนาพิพาท นาพิพาทเป็นมรดกของบิดามารดาของสามีผู้เสียหายและจำเลยที่ 2 ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลผู้เสียหายและจำเลยทั้งสองเคยไปทำความตกลงกันไว้ที่สถานีตำรวจภูธรตำบลแซงบาดาลว่า เนื่องจากทั้งสองฝ่ายพิพาทกันเกี่ยวกับเรื่องที่นามรดก ตกลงกันไม่ได้ว่าจะแบ่งข้าวเปลือกเหนียวที่ได้จากการทำนากันอย่างไร จึงตกลงกันว่าจะไม่ให้ฝ่ายใดนำข้าวเปลือกเหนียวไปขายแต่ยอมให้เข้าไปเอาไปสีรับประทานได้ในระหว่างคดี หลังจากทั้งสองฝ่ายได้ทำการตกลงกันที่สถานีตำรวจดังกล่าวแล้ว ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน2538 ผู้เสียหายได้เอาข้าวเปลือกเหนียวจำนวน 50 ถุงปุ๋ยให้นายน้อย เขจรรักษ์ ไปเพื่อเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่ผู้เสียหายยืมจากนายน้อยมาจำนวน 2,000 บาท ต่อมาเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม2538 จำเลยทั้งสองได้ปิดยุ้งข้าว ผู้เสียหายจึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนให้ดำเนินคดีกับจำเลยทั้งสอง เห็นว่า ผู้เสียหายได้ฟ้องจำเลยทั้งสองขอแบ่งนามรดก และข้าวเปลือกเหนียวที่เก็บเกี่ยวได้จากนาพิพาท ขณะที่คดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาล ผู้เสียหายและจำเลยทั้งสองได้ไปตกลงกันที่สถานีตำรวจภูธรตำบลแซงบาดาลว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะไม่เอาข้าวเปลือกเหนียวที่ได้จากการทำนาพิพาทไปขาย แต่ยอมให้แต่ละฝ่ายเอาไปสีรับประทานได้ ผู้เสียหายทำผิดข้อตกลงดังกล่าวโดยผู้เสียหายเอาข้าวเปลือกเหนียวจำนวน 50 ถุงปุ๋ยไปให้นายน้อยเพื่อเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่ผู้เสียหายยืมจากนายน้อยมาจำนวน 2,000 บาท จำเลยทั้งสองจึงปิดยุ้งข้าวพิพาทการกระทำของจำเลยทั้งสองก็เพื่อรักษาผลประโยชน์ในทรัพย์พิพาทซึ่งอยู่ในระหว่างพิจารณาคดีนั่นเอง แม้ข้อเท็จจริงจะฟังว่าจำเลยทั้งสองได้กวาดข้าวเปลือกเหนียวไปกองรวมไว้ในยุ้งข้าวพฤติการณ์การกระทำของจำเลยทั้งสองก็ขาดเจตนาทุจริตที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์ ศาลฎีกาเห็นด้วยในผลฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share