คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2470/2520

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า ระหว่างวันที่ 30 พฤศจิกายน 2514 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2517 อันเป็นเวลาติดต่อกัน 2 ปีเศษ จำเลยซึ่งเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการห้างหุ้นส่วนจำกัด ได้เบิกเงินจากธนาคารรวมยอดเงิน 1,542,661 บาท 99 สตางค์ โดยไม่ลงรายการจ่ายในบัญชี หรือเมื่อฝากเงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่ลงหลักฐานการฝากเงิน และเมื่อจำเลยรับเงินค่าหุ้นก็ไม่นำลงในบัญชี โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดให้ปรากฏเลยว่า ในการเบิกเงินหรือฝากเงินก็ดีจำเลยไม่ลงบัญชีรายการใด เมื่อใด เป็นจำนวนเท่าใด และในการรับเงินค่าหุ้นก็ดีจำเลยรับจากใคร เมื่อใด ทั้ง ๆ ที่โจทก์อาจกล่าวถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ จึงเป็นการยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานทำหลักฐานเท็จและจดข้อความเท็จ ตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ.2499 มาตรา 42 จึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม
โจทก์ฎีกาว่าจำเลยเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 354 แต่มาตรา 354 เป็นบทบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา 352, 353 รับโทษหนักขึ้น เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา 352, 353 ข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดี

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นหุ้นส่วนในห้างหุ้นส่วนจำกัด ก. จำเลยเป็นหุ้นส่วนผู้จัดการ มีอำนาจหน้าที่ดำเนินกิจการ เก็บรักษาเงินและควบคุมดูแลจัดทำหลักฐานบัญชีต่าง ๆ จำเลยกระทำผิดหน้าที่โดยทุจริต เบียดบังยักยอกเงินของห้างหุ้นส่วนไปหลายครั้งรวมเป็นเงิน ๑,๕๔๒,๖๖๑ บาท ๙๙ สตางค์ และจำเลยได้ทำบัญชีของห้างเป็นเท็จทำหลักฐานและจดข้อความเท็จ หรือไม่ลงข้อความสำคัญในบัญชีขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑, ๓๕๒, ๓๕๓, ๓๕๔ พระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียน ห้างหุ้นส่วนจำกัด บริษัทจำกัด สมาคมและมูลนิธิ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๔๑, ๔๒
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า อุทธรณ์ของโจทก์ในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ และพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ พ.ศ.๒๔๙๙ มาตรา ๔๑ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๙๓ ทวิ ส่วนข้อหาฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๕๔ จำเลยไม่มีความผิด สำหรับข้อหาตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ มาตรา ๔๒ เป็นฟ้องเคลือบคลุม พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาเฉพาะปัญหาข้อกฎหมาย
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของโจทก์ที่ว่าจำเลยเป็นผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๕๔ นั้น เห็นว่ามาตรา ๓๕๔ เป็นบทบัญญัติให้ผู้กระทำความผิดตามมาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ รับโทษหนักขึ้น แต่เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า จำเลยไม่มีความผิดตามมาตรา ๓๕๒, ๓๕๓ ข้อกฎหมายตามฎีกาโจทก์จึงไม่เป็นสาระแก่คดี ไม่รับวินิจฉัยส่วนปัญหาว่าฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาตามพระราชบัญญัติกำหนดความผิดเกี่ยวกับห้างหุ้นส่วนจดทะเบียนฯ มาตรา ๔๒ เป็นฟ้องเคลือบคลุมหรือไม่นั้น เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องโดยสรุปว่า ระหว่างวันที่ ๓๐ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ถึงวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๑๗ อันเป็นเวลาติดต่อกัน ๒ ปีเศษ จำเลยเบิกเงินจากธนาคารรวมยอดเงิน ๑,๕๔๒,๖๖๑ บาท ๙๙ สตางค์ โดยไม่ลงรายการจ่ายในบัญชี หรือเมื่อฝากเงินจำนวนดังกล่าวก็ไม่ลงหลักฐานการฝากเงินและเมื่อจำเลยรับเงินค่าหุ้นก็ไม่นำลงบัญชี โจทก์มิได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงอันเป็นสารสำคัญที่อ้างว่าจำเลยกระทำผิดให้ปรากฏเลยว่า ในการเบิกเงินหรือฝากเงินก็ดี จำเลยไม่ลงบัญชีรายการใด เมื่อใด เป็นจำนวนเท่าใด ในการรับเงินค่าหุ้นก็ดี จำเลยรับจากใครเมื่อใด ทั้ง ๆ ที่โจทก์อาจกล่าวถึงข้อเท็จจริงเหล่านี้ได้ จึงเป็นการยากที่จำเลยจะต่อสู้คดีได้ถูกต้อง ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับความผิดฐานทำหลักฐานเท็จ และจดข้อความเท็จจึงเป็นฟ้องเคลือบคลุม ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๕)
พิพากษายืน

Share