คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 144/2550

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีหรือปัญหาข้อกฎหมายว่ามีอยู่อย่างไร เพื่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 ได้วินิจฉัยคดีตามข้ออุทธรณ์ได้ถูกต้องตามประเด็นที่โต้เถียงกัน ซึ่งต้องพิจารณาจากคำฟ้องคำให้การและประเด็นข้อพิพาทในคดีเป็นสำคัญ ไม่ใช่พิจารณาจากข้อเท็จจริงและการนำสืบของคู่ความ
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่แปลงหนี้มาจากราคาที่ดินที่จำเลยซื้อจากโจทก์และตามหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยให้การว่าสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ โจทก์เคยขายที่ดินให้แก่จำเลยและโจทก์รับเงินไปจากจำเลยแล้ว ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์และหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์หรือไม่ ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าหนี้เดิมระหว่างโจทก์และจำเลยระงับเพราะการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยเป็น อ. และ อ. ชำระหนี้ 100,000 บาท ให้โจทก์ไปแล้วนั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2540 จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินจากโจทก์ 793,000 บาท โดยการแปลงหนี้จากราคาที่ดินที่จำเลยซื้อจากโจทก์ในวันเดียวกันมาเป็นหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน ตกลงชำระให้เสร็จภายในวันที่ 30 เมษายน 2540 แต่จำเลยชำระหนี้เพียงบางส่วน ต่อมาวันที่ 31 กรกฎาคม 2541 จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ 570,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันทำหนังสือรับสภาพหนี้ ตกลงชำระหนี้ให้เสร็จภายในวันที่ 30 กันยายน 2541 แต่ครบกำหนดแล้ว จำเลยไม่ชำระหนี้ โจทก์คิดดอกเบี้ยถึงวันฟ้อง 252,000 บาท ขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 822,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 570,000 บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า สัญญากู้ยืมเงินและหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ จำเลยเคยทำหนังสือที่มีข้อความจำนวนเงิน 320,000 บาท เนื่องจากโจทก์เคยขายที่ดินให้จำเลย แต่ในวันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์โจทก์ได้รับเงินค่าที่ดินจากจำเลยไปเรียบร้อยแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 570,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2541 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้อง (วันที่ 17 กรกฎาคม 2544) ต้องไม่เกิน 252,000 บาทตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลย ให้คืนค่าธรรมเนียมศาลชั้นอุทธรณ์ทั้งหมดให้แก่จำเลย ค่าฤชาธรรมชั้นอุทธรณ์นอกจากนี้ให้เป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหามาสู่ศาลฎีกาที่ต้องวินิจฉัยว่าที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกอุทธรณ์โดยไม่รับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า การอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายต้องกล่าวไว้โดยชัดแจ้งถึงรายละเอียดแห่งข้อเท็จจริงในประเด็นแห่งคดีหรือปัญหาข้อกฎหมายมีอยู่อย่างไร เพื่อศาลอุทธรณ์ ภาค 2 ได้วินิจฉัยคดีตามข้ออุทธรณ์ได้ถูกต้องตามประเด็นที่โต้เถียงกัน โดยพิจารณาจากคำฟ้องคำให้การและประเด็นข้อพิพาทในคดีเป็นสำคัญ ไม่ใช่พิจารณาจากข้อเท็จจริงและการนำสืบพยานหลักฐานในชั้นพิจารณา คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงินที่แปลงหนี้มาจากราคาที่ดินที่จำเลยซื้อจากโจทก์และตามหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยให้การต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือรับสภาพหนี้เป็นเอกสารปลอม จำเลยไม่เคยรับเงินจากโจทก์ โจทก์เคยขายที่ดินให้แก่จำเลยและโจทก์รับเงินไปจากจำเลยแล้ว ประเด็นข้อพิพาทจึงมีว่า จำเลยทำสัญญากู้ยืมเงินโจทก์และหนังสือรับสภาพหนี้ให้แก่โจทก์หรือไม่ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวโดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยซื้อที่ดินจากโจทก์ การชำระราคาค่าที่ดินโจทก์ให้จำเลยทำเป็นหนังสือสัญญากู้ยืมเงินไว้ ต่อมาจำเลยไม่ชำระหนี้ดังกล่าว โจทก์จึงให้จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ จำเลยจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ตามฟ้อง ที่จำเลยอุทธรณ์ว่าหนี้เดิมระหว่างโจทก์และจำเลยระงับเพราะการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยเป็นนางอรสา อู่อุดมยิ่ง และนางอรสาชำระหนี้ 100,000 บาท ให้โจทก์ไปแล้วนั้น เห็นว่า จำเลยมิได้ยกข้อต่อสู้เรื่องการแปลงหนี้ใหม่ไว้ในคำให้การอุทธรณ์ของจำเลยว่าหนี้เดิมระงับเพราะการแปลงหนี้ใหม่ด้วยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ จึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้น ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไม่รับวินิจฉัยให้โดยพิพากษายกอุทธรณ์ของจำเลยนั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นด้วย ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share